รัก แลก พบ :: “ประจวบฯ อัศจรรย์… สีสันชุมชน” เมือง 3 อ่าว ที่ต้องไปสัมผัสสักครั้ง!

SHARE!

รัก แลก พบ :: “ประจวบฯ อัศจรรย์… สีสันชุมชน” เมือง 3 อ่าว ที่ต้องไปสัมผัสสักครั้ง!

รัก แลก พบ.. แท้จริงเป็นอย่างไร?

ทริปนี้ จะขอพาไปเปิดมุมมองใหม่ของ “เมือง 3 อ่าว” ประจวบคีรีขันธ์ กันครับ ซึ่งถือเป็นจังหวัดท่องเที่ยวที่เราต่างคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ทั้งเรื่องของสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังต่างๆ และกิจกรรมท่องเที่ยวที่มีอย่างมากมาย

แต่.. การเดินทางครั้งนี้ จะพิเศษหน่อยตรงที่ เราจะพาไปชมกับความอัศจรรย์ของแหล่งท่องเที่ยว และ ความอัศจรรย์ของแหล่งท่องเที่ยวในชุมชน ตามเส้นทางท่องเที่ยว โปรแกรม 3 วัน 2 คืน ที่จะสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวในมุมมองใหม่ และได้รับความประทับใจอย่างแน่นอน.. ลองตามมาเที่ยวกันนะครับ!

 

DAY #1 : สวัสดี.. ประจวบคีรีขันธ์!

เริ่มต้น ออกเดินทาง จาก กรุงเทพฯ ผ่านเส้นทาง พระราม 2 – สมุทรสาคร – สมุทรสงคราม – เพชรบุรี – ประจวบคีรีขันธ์ ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง 30 นาที ก็มาถึงจุดหมายแรก ที่ “เขาหินเหล็กไฟ”

“เขาหินเหล็กไฟ” เป็นหนึ่งจุดเริ่มต้นสร้างของความเจริญของ “หัวหิน” เพราะในอดีต พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ 7) เสด็จมาประทับ และได้ทรงนำความเจริญต่างๆ มาสู่หัวหิน ดังนั้น เพื่อเป็นการระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ จึงได้มีการร่วมกันสร้าง พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ 7) ซึ่งหันพระพักตร์ มองลงไปยังตัวเมือง

สถานที่แห่งนี้ หลายคนอาจจะไม่รู้จัก แต่อยากบอกว่า.. ถ้ามีโอกาสอยากให้แวะมาเที่ยวที่นี่กันครับ เพราะว่าเป็น จุดชมวิว มุมสูงของ “หัวหิน” ที่น่าสนใจมาก ซึ่งมีด้วยกันถึง 6 จุดชมวิวด้วยกัน สามารถ มองเห็นทั่วทั้งเมืองหัวหิน ไม่ว่าจะเป็น ทะเล สถานีรถไฟ สนามกอล์ฟ ฯลฯ แบบ 180 องศา กันเลยทีเดียว!

จากนั้น เดินทางไปกันที่ “ศูนย์การเรียนรู้ระบบนิเวศน์ป่าชายเลนสิรินาถราชินี” ซึ่งตั้งอยู่ที่ ต.ปากน้ำปราณ อ.ปราณบุรี ซึ่งเป็นศูนย์เรียนรู้ด้านการฟื้นฟูป่าชายเลนจากนากุ้งร้างเป็นแห่งแรกในประเทศไทย เกิดขึ้นได้ด้วยน้ำพระราชหฤทัยของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ที่ต้องการฟื้นฟูป่าชายเลนและพัฒนาให้เป็นศูนย์การเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลน

ก่อนเข้าชม เราก็ได้รับฟังการบรรยายจากเจ้าหน้าที่ ที่มาให้ความรู้เกี่ยวกับป่าชายเลน และ กฎระเบียบในการเข้าชมพื้นที่ป่าชายเลยแห่งนี้

  • ติดต่อ ศูนย์การเรียนรู้ระบบนิเวศน์ป่าชายเลนสิรินาถราชินี : โทร. 032-632255, 086-6077712

เราสามารถเดินเที่ยวชมป่าชายเลน โดยเดินไปตามสะพานที่ทอดเข้าไปในป่าโกงกาง ผ่านจุดเรียนรู้ป่าชายเลนในแต่ละจุด โดยมีระยะทางรวมประมาณ 1 กิโลเมตร

ภายใน ศูนย์การเรียนรู้ระบบนิเวศน์ป่าชายเลนสิรินาถราชินี มีจุดให้แวะถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก อีกด้วย

เดินมาจนถึง หอชะคราม ซึ่งเป็นจุดชมวิวป่าโกงกางในมุมสูง ซึ่งที่มาของชื่อ หอชะคราม เนื่องจากมีการปลูกสร้างโดยเลียนแบบโครงสร้างของต้นชะครามนั่นเอง เมื่อเดินขึ้นไปยังชั้นบนสุด ก็สามารถ เห็นของป่าโกงกางแห่งนี้รอบทิศทาง แบบ 360 องศา

และ ก็อย่าลืมมาชม “2 ต้นโกงกางประวัติศาสตร์” ซึ่ง ในหลวงรัชกาลที่ 9 และ สมเด็จพระเทพฯ ทรงปลูก เป็นไม้เด่นสัญลักษณ์ประจำป่าชายเลนแห่งนี้ กันด้วยนะครับ

มื้อเที่ยง แวะทานอาหารที่ ร้านขันน้ำซีฟู้ด จัดเต็มกับอาหารซีฟู้ดรสชาติอร่อยหลากหลายเมนู

เข้าสู่ ช่วงบ่าย เรามุ่งหน้ายิงยาวไปยัง อ.บางสะพาน โดยมีจุดหมายที่ วัดเขาถ้ำม้าร้อง ซึ่งเป็นถ้ำที่มีความสวยงามของหินงอกหินย้อย และ เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูป

  • ติดต่อ ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีบ้านม้าร้อง : นายประวิทย์ รัตนพงศ์ ( ผู้ใหญ่บ้าน ) 081-2928141, นายพินิจ ศรีจันทร์ 062 – 9545226 , 032 – 691207

เดินเข้ามา ภายในถ้ำ จะพบกับโถงถ้ำขนาดใหญ่ มีหินงอกหินย้อย และ พระพุทธรูปปางสมาธิเรียงรายตลอดแนว ด้านบนมีปากปล่องเป็นช่องทางเข้าออกของค้างคาว

ที่นี่.. มี “บ่อน้ำทิพย์” เป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีวันแห้ง ซึ่งน้ำที่นี่จึงถูกนำไปใช้ในงานพระราชพิธีสำคัญต่างๆ เช่น งานพิธีครบรอบ 60 พรรษา และ72 พรรษา ในหลวงรัชกาลที่ 9, งานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในหลวงรัชกาลที่ 10

ชมความสวยงามของ วัดเขาถ้ำม้าร้อง เป็นที่เรียบร้อย ก็ได้เวลาแดดร่มลมตก พอดี เราเดินทางต่อไปอีกไม่ไกล ก็มาถึง แหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์คลองปากปิด ชุมชนบ้านฝ่ายท่า ซึ่งที่นี่ จะมีกิจกรรม พายเรือคายัค ชมธรรมชาติของป่าโกงกาง เหมาะกับบรรยากาศยามเย็นแบบนี้มากครับ (ทุกวันเสาร์ ที่นี่จะมีตลาดนัดเล็กๆ ให้ได้ช้อปปิ้งอีกด้วย)

  • ติดต่อ ชุมชนบ้านฝ่ายท่า : โทร. 085-4253929

เราพายเรือคายัคไปตาม คลองปากปิด คลองสาขาที่แยกมาจาก คลองบางสะพาน ซึ่งจะไหลเป็นเส้นทางคดเคี้ยว ผ่านผืนป่าโกงกาง ออกไปสู่ทะเล .. ซึ่งในบางช่วงฤดูกาล บริเวณปากคลองแห่งนี้ ก็จะปิด เนื่องจากผลกระทบจากสภาพอากาศ และ จากกระแสน้ำที่ไหลก็ได้พัดพาตะกอนดินทรายไปทับถม ทำให้เกิดเป็นสันดอนทรายปิดกั้นระหว่าง คลอง กับ ทะเล จึงเป็น ชื่อเรียกของสถานที่แห่งนี้ครับ

ระหว่างทาง ก็ได้ชมความงามของทั้งสองฝั่งของป่าชายเลน บรรยากาศร่มรื่น เย็นสบาย พายคายัคไปแบบชิลๆ

พายคายัคไปจนสุด คลองปากปิด ระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร ก็จะพบกับ ทะเลและชายหาด ได้เวลาชมวิว พระอาทิตย์ตก ที่ชายหาดพอดี

เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ก็ได้เวลาพายคายัคกลับไปยังจุดเดิม จากนั้น เราก็เดินทางไปทานอาหารเย็น และ เข้าพักที่ อุ่นไอทะเล รีสอร์ท บางสะพานน้อย (โทร. 098-5504161) ที่พักริมหาด นอนหลับสบาย..

 

DAY #2 : ออกทะเล.. ประจวบคีรีขันธ์!

เข้าสู่วันที่ 2 ของการเดินทาง ซึ่งวันนี้เราจะไป “ออกทะเล” กันครับ โดยมี กิจกรรมดำน้ำ แบบ One Day Trip นั่งเรือออกทะเลไป เกาะสิงห์ เกาะสังข์ และ เกาะทะลุ พร้อมชมปะการังและโลกใต้ทะเลกัน

  • ติดต่อ บริษัทนำเที่ยวดำน้ำ : ไดฟ์วิ่ง ทัวร์ 032-510714, 081-9953787, 081-8588573 สีฟ้า ทัวร์ 032-699021, 086-1705690, 093-4089009 และ สุชาติ ไดฟ์วิ่ง ทัวร์ 081-7594997

นั่งเรือมาไม่นาน ก็ได้มาทักทายกับ “เกาะทะลุ” เป็นจุดแรก ซึ่งเป็นเกาะที่มี ลักษณะเด่น ตรงที่มีช่องตรงกลางเกาะทะลุไปอีกด้าน จนสามารถมองเห็นทะลุไปอีกด้านหนึ่งของเกาะได้เลย..

เรือแล่นมาจนถึง จุดดำน้ำชมปะการัง ก็รับอุปกรณ์ดำน้ำ ฟังคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ที่มาดูแล จากนั้น.. ก็โดดลงทะเลกันได้เลย! โดยมีการดูแลจากเจ้าหน้าที่อย่างใกล้ชิด..

เป็นที่น่าเสียดาย.. ที่วันนี้ น้ำทะเลค่อนข้างขุ่น ทำให้ไม่สามารถชมปะการัง และโลกใต้ทะเลได้อย่างชัดเจนนัก

แหวกว่ายอยู่กลางทะเล สักพักใหญ่ๆ ก็ขึ้นเรือเตรียมกลับฝั่งกัน ระหว่างทางก็แวะถ่ายภาพ เกาะสิงห์ และ เรือก็มุ่งหน้ากลับฝั่งต่อไป

อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า เรียบร้อย.. ก็ออกเดินทางไปยัง อ.ทับสะแก โดยไม่ลืมที่จะแวะลงถ่ายรูปกับ สถานีรถไฟทับสะแก ซึ่งเป็นสถานีรถไฟเก่าแก่แห่งหนึ่งของประเทศไทย ที่ยังคงความเก่าแก่ให้ได้เห็นกันครับ..

กิจกรรมช่วงแดดร่มลมตกของวันนี้ เราจะมา “ห่มทราย” ริมชายหาดกันครับ กับกิจกรรม “สปาทราย” โดยมาที่ ชุมชนบ้านทุ่งประดู่ อ.ทับสะแก ซึ่งเป็นอีกหนึ่งชุมชนที่มีการท่องเที่ยวเป็นเอกลักษณ์ รวมถึงมีกิจกรรมการท่องเที่ยวที่หลากหลาย โดย “การห่มทราย” นั้น จะเริ่มต้น ดื่มน้ำมะพร้าว ก่อน เนื่องจากน้ำมะพร้าวมีเอนไซม์ที่ไปผสมกับกรดในกระเพาะ เพื่อให้เกิดประจุไฟฟ้า ที่ช่วยกระตุ้นตับในการขับสารพิษ

  • ติดต่อ สปาทราย : โทร. 081-5729665 (คุณปิ่น)

จากนั้น จึงลงไปนอนในหลุมทรายโดยให้มีเสื้อผ้าติดตัวให้น้อยที่สุด หันหัวไปทางทิศเหนือ เพื่อสัมพันธ์กับแรงดึงดูดของขั้วแม่เหล็กโลก แล้วค่อยๆ นำทรายมากลบลงบนร่างกาย ซึ่ง ทรายบ้านทุ่งประดู่ จะมีลักษณะพิเศษ คือ เป็น ทรายคริสตัล ไม่ติดตัว ไม่เหนียวตัว ปัดออกได้ง่าย ส่วนตัวเม็ดทรายจะมีสารซิลิเกต แคลเซียมคาร์บอเนต ฟอสเฟส กำมะถัน ฯลฯ ซึ่งช่วยดูดซับสารพิษอีกด้วย

ประโยชน์ ของ “การห่มทราย” คือ ช่วยในการรักษาโรคต่างๆ เช่น กระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต บรรเทาอาการเหน็บชา อัมพฤกษ์ ขับน้ำคาวปลา และเมื่อทำการห่มทรายเสร็จ ก็จะมีการนวดเพื่อให้ร่างกายได้ผ่อนคลายยิ่งกว่าเดิม รู้สึกตัว.. เบาหวิว สบายจริงๆ ครับ

จากนั้น ก็ได้เวลา อาหารเย็น เราได้แวะมาชิมที่ร้านอาหารเก่าแก่ของเมืองประจวบฯ ที่ชื่อว่า ร้านเพชรในรู ซึ่งเป็นร้านที่นำวัตถุดิบในชุมชนมาปรุงอาหารหลากหลายเมนู บรรยากาศร้านอาจจะดูธรรมดาเหมือนร้านอาหารทั่วไป แต่.. รสชาติอาหารต้องบอกว่า.. ไม่ธรรมดาเลยครับ เพราะอาหารของร้านนี้มีความสด สะอาด และ อร่อย โดยมี เมนูแนะนำ คือ “ต้มยำปลาทู” เด็ดจริงไรจริง ต้องลอง!

  • ติดต่อ ร้านเพชรในรู : โทร. 089-9967544

ช่วงหัวค่ำ ออกไปเดินเล่นย่อยอาหาร กินลมชมวิว บริเวณ สะพานสราญวิถี สะพานแห่งความภาคภูมิใจของชาวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพราะได้มีหนังสือกราบบังคมทูล ขอพระราชทานชื่อ โดย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อ สะพานปลาหน้าอ่าวประจวบคีรีขันธ์ว่า “สราญวิถี” ซึ่งหมายถึงสะพานแห่งความสุขสำราญและพระราชทานพระราชานุญาตให้เชิญ ตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ 5 รอบ 2 เมษายน 2558

ใกล้กันกับ สะพานสราญวิถี ก็จะมี ถนนคนเดิน ซึ่งจะมีร้านค้าต่างๆ มากมาย อาหารการกินดูละลานตาไปหมด แต่เมนูที่พลาดไม่ได้เลย คือ จับหลัก ขนมไส้ไก่ ข้าวห่อใบบัว ครับ (ถนนคนเดิน จะมีเฉพาะวันศุกร์ และ วันเสาร์ เวลา 17.00 – 21.00 น.)

 

DAY #3 : รัก แลก พบ – ประจวบฯ อัศจรรย์… สีสันชุมชน!

วันสุดท้าย เราตื่นกันตั้งแต่เช้ามืด! เดินไปริมชายหาด “อ่าวประจวบฯ” เพื่อรอชมพระอาทิตย์ขึ้น เป็นแสงแรกของวัน

กิจกรรมในช่วงเช้าวันนี้ เป็น กิจกรรมทำบุญตักบาตร ที่ ชุมชนหัวบ้าน ชุมชนแห่งแรกที่ถูกตั้งขึ้นในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งมีอัตลักษณ์เฉพาะตัว มีการท่องเที่ยวที่ยังคงวัฒนธรรมดั้งเดิม และที่สำคัญ คือได้รับความร่วมมือจากคนในชุมชนเป็นอย่างดี

กิจกรรมทำบุญตักบาตร จะมีทุกเช้าในวันอาทิตย์ บริเวณ ถนนสู้ศึก ซึ่งจะได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวที่มาร่วมทำบุญตักบาตรกับชาวบ้านในชุมชน

บรรยากาศของ การทำบุญตักบาตร ที่นักท่องเที่ยว และชาวบ้านที่สวมใส่ชุดไทย ออกมาทำบุญตักบาตรร่วมกัน

ทำบุญตักบาตรกันเสร็จเรียบร้อย เราก็มาเดินเล่นสำรวจชุมชนบน ถนนสายวัฒนธรรม ถนนสู้ศึก แห่งนี้กันต่อ โดยมาแวะสักการะ ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ศาลแห่งแรกของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์

จากนั้น เดินต่ออีกหน่อย ก็มาถึง พิพิธภัณฑ์ชุมชนหัวบ้าน เป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็ก ที่มีทั้ง ของเก่า และ ภาพเก่าสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อครั้งญี่ปุ่นเข้ามาตั้งฐานทัพที่อ่าวมะนาว นับเป็นของเก่าล้ำค่าที่ควรรักษาไว้ให้ลูกหลานได้ศึกษาครับ

  • ติดต่อ คุณจำลอง พรมแดง (ประธานชุมชน) : โทร. 089-6620929

เราขึ้นรถมุ่งหน้าไปกันต่อที่ วัดอ่าวน้อย วัดที่มี อุโบสถ ที่สร้างขึ้นจาก ไม้สักทองทั้งหลัง ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปหินอ่อน ภาพแกะสลักไม้ลอยตัว ตกแต่งได้อย่างสวยงาม

  • ติดต่อ วัดอ่าวน้อย : โทร.032-603979, 032-513885

วัดอ่าวน้อย อยู่ติดกับ ชายทะเลอ่าวน้อย มีจุดชมวิวและถ่ายภาพสวยๆ

ใกล้กันจะมี ถ้ำพระนอน สามารถขึ้นบันไดไปสักการะพระพุทธรูปองค์ใหญ่ประดิษฐานอยู่ในถ้ำ ซึ่งเป็น พระนอน ที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์

จุดหมายสุดท้ายของทริปนี้ เราเดินทางมาที่ บ้านไร่ดินไทย ชุมชนอ่าวน้อย ต.อ่าวน้อย อีกหนึ่งสถานที่ที่เกิดจากการรวมตัวกันอย่างเข้มแข็ง ที่ต้องการพัฒนาการท่องเที่ยวให้เกิดขึ้น และดึงเอาของดีของเด่นในชุมชนนั่นคือ “สับปะรด” มาสร้างเป็นเรื่องราวของการท่องเที่ยวที่น่าสนใจ โดยมีหลักสำคัญคือ “เพื่อในหลวงรัชกาลที่ 9” ซึ่งพระองค์ทรงมอบความเจริญและความอุดมสมบูรณ์ให้แก่คนในพื้นที่ชุมชนอ่าวน้อย ให้มีกินมีใช้จนถึงปัจจุบัน และรายได้ของสมาชิกนั้น บางส่วนจะถูกหักเพื่อเป็นทุนการศึกษาแก่เด็กในชุมชนอีกด้วย

  • ติดต่อ บ้านไร่ดินไทย : โทร. 081-9781577 (คุณนก)

เรามารับประทาน อาหารมื้อเที่ยง กันที่นี่ ซึ่งมี เมนูอาหาร ที่น่าสนใจมากมาย เช่น ซี่โครงหมูอบสับปะรดใบเตย (เมนูรางวัลของ Local Chef) น้ำพริกกระด้งและผักสด น้ำพริกกะปิปลาทูทอด ต้มยำน้ำข้นไก่บ้าน ไข่เจียวออแกนิคสมุนไพร และยำหัวปลี อยากบอกว่า.. อร่อยทุกเมนูเลยครับ!

พอเข้าสู่ ช่วงบ่าย เราก็ได้เวลาเดินชมไร่สับปะรดปลอดสารเคมี ซึ่งเป็นไร่ของ น้องอ้อม – ลุงปอง โฮมสเตย์ คนรุ่นใหม่ที่ได้ชื่อว่าเป็น Young Smart Farmer โดยระหว่างการเยี่ยมชมเราก็เรียนรู้เรื่องราวของสับปะรดในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์วิธีการปลูก การดูแล และเก็บเกี่ยว ตลอดจนประโยชน์จากสับปะรดในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ใบ และ เปลือก ที่นำไปทำกระดาษได้ ผล รับประทาน ปรุงเป็นอาหาร หรือเพิ่มมูลค่าเป็น สับปะรดกวน เป็นต้น

จากนั้น ก็ลองมาทำเมนูอาหารจากสับปะรดกัน เป็น กิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ (Creative Tourism) ที่เราเลือกลงมือ เรียนรู้การทำเมนู ซี่โครงหมูอบสับปะรดใบเตย (เมนูรางวัลของ Local Chef) โดยมีเชฟกระทะเหล็กประเทศไทย เชฟชุมพล แจ้งไพร เป็นผู้ฝึกอบรม เชฟชุมชน (Local Chef Thailand)

เมื่อทำเมนู ซี่โครงหมูอบสับปะรดใบเตย และลองชิมฝีมือการปรุงอาหารของตัวเอง เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาที่เราจะต้องเดินทางกลับ กรุงเทพฯ เป็นอันจบทริป รัก แลก พบ “ประจวบอัศจรรย์…สีสันชุมชน” ที่เต็มไปด้วยความรู้ และความสนุกสนาน ได้สัมผัสเสน่ห์ของชุมชนที่น่าสนใจ ซึ่งถ้ามีโอกาส.. ก็อยากให้เพื่อนๆ มาเที่ยว “ประจวบคีรีขันธ์” กันนะครับ!

 

#อพท #เที่ยวชุมชน #ประจวบคีรีขันธ์
#dasta #dastathailand #travel

 


การท่องเที่ยวเชิงไฉไล | CHAILAIBACKPACKER

Fanpage : https://www.facebook.com/chailaibackpacker
Instagram : CHAILAIBACKPACKER
Twitter : @chailaibackpack / goo.gl/VIBXC9
E-mail : chailaibackpacker@gmail.com
Website : www.chailaibackpacker.com