ไปกินผัก.. ที่ โครงการหลวงแม่โถ เชียงใหม่ #ดีต่อใจ #ดีต่อปอด และ #ดีต่อพุง!
“หนาวนี้.. อยากไปนอนในโครงการหลวงฯ..”
นั่นคือ.. ความคิดในหัวของผมหลังจากได้มีโอกาสเปิดอ่านเวปไซต์ของโครงการหลวง “38 เส้นทางความสุข 38 โครงการหลวง” ซึ่งเป็นเส้นทางการท่องเที่ยว 38 โครงการหลวง ที่มีความน่าสนใจมากๆ จึงเกิดความตั้งใจขึ้นมาว่า ในช่วงหนาวนี้.. จะต้องไป 1 ใน 38 โครงการหลวงนั้นให้ได้ ก็เลยพยายามหาข้อมูลการเดินทางต่างๆ ของแต่ละสถานที่เพิ่มเติม โดยในบางเส้นทางของโครงการหลวงนั้น หลายคนก็เคยได้ยินชื่อกันบ่อยๆ หรือ เคยไปมากันบ้างแล้ว อย่างเช่น สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์ เป็นต้น
หลังจาก.. ได้ลองศึกษาการเดินทางเส้นทางสู่โครงการหลวงตามที่ต่างๆ ประกอบกับปัจจัยอื่นๆ ก็เลยตัดสินใจเลือกไปที่ “โครงการหลวงแม่โถ” ที่ต้องเดินทางออกไปไกลจากตัวเมืองเชียงใหม่พอสมควร แต่นั่นก็มีข้อดี ตรงที่.. คนไปเที่ยวน้อย และไม่วุ่นวาย บรรยากาศสงบ อากาศดี ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมต้องการ และ โครงการหลวงแม่โถแห่งนี้ จะขึ้นชื่อ.. เรื่อง การปลูกผัก มีผักสด สะอาด ปลอดสารพิษ สามารถนำมาประกอบอาหารให้ทานได้เลย นี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง ที่เลือกมาที่นี่.. เพราะ อยากกินผัก ครับ!
ในการเดินทางครั้งนี้.. มีผู้ร่วมเดินทางทั้งหมด 3 คน โดยแต่ละคนเดินทางมาจากคนละที่ ก็เลยนัดหมายให้มารวมตัวกันที่ สนามบินเชียงใหม่ ตามวัน เวลา ที่ได้ตกลงกันไว้ ซึ่งโปรแกรมของเรา จะเน้นไปเที่ยวบริเวณภายในโครงการหลวงแม่โถ กิน+นอน อยู่ที่นั่น ทั้งหมด 2 คืน ครับ.. ถ้าพร้อมแล้ว ก็ออกเดินทางกันเลย!
โครงการหลวงแม่โถ มีอะไรให้เที่ยวบ้าง?
ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่โถ อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ ได้จัดตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2539 ตามแนวนโยบายส่งเสริมอาชีพเกษตรกรแผนใหม่ เพื่อทดแทน การปลูกฝิ่น และการลดการใช้สารเคมีในการทำเกษตรกรรม ลักษณะพื้นที่ตั้งศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่โถ เป็นภูเขาสลับซับซ้อน บรรยากาศจึงสดชื่น เย็นสบาย และเนื่องจากการเดินทางที่ไกล ต้องใช้เวลาพอสมควร ที่นี่จึงมีความเงียบสงบ เหมาะแก่การมาพักผ่อน
การเดินทาง – รถทุกชนิดสามารถเดินทางขึ้นมาถึงที่ โครงการหลวงแม่โถ ได้เลย จากตัวเมืองเชียงใหม่ใช้ เส้นทาง 108 ผ่าน อำเภอจอมทอง จนถึง อำเภอฮอด แล้วเลี้ยวขวา ผ่าน อช.ออบหลวง จนไปถึง แยกบ้านกองลอย แล้วเลี้ยวขวาขึ้นไปที่ โครงการหลวงแม่โถ ระยะทางจากตัวเมืองเชียงใหม่รวมทั้งสิ้น ประมาณ 160 กิโลเมตร (ไม่มีรถโดยสารผ่าน สามารถเช่ารถขับ หรือเช่ามอเตอร์ไซค์ จากตัวเมืองเชียงใหม่มาได้)
สรุปค่าใช้จ่ายภายในโครงการหลวง
- ค่าที่พักในโครงการหลวง – บ้านพัก หัวละ 150 บาท/คืน
- ค่าเช่าเต๊นท์ มีเต๊นท์บริการให้เช่า 150 บาท/หลัง (แผ่นรองนอน 30 บาท ถุงนอน 30 บาท)
- ค่าอาหาร คิดเป็นหัว = เช้า 80 บาท / กลางวัน 100 บาท / เย็น 150 บาท
- สัญญาณโทรศัพท์มีเพียงเครือข่าย AIS เท่านั้น
- สถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียง เช่น บ้านเกษตรกรตัวอย่าง น้ำตกแม่แอบ ดอย360 เป็นต้น
หากต้องการเข้าพัก และ ต้องการทานอาหารของโครงการหลวง ต้องติดต่อล่วงหน้า เพราะทางเจ้าหน้าที่จะได้มีเวลาเตรียมที่พักและอาหารไว้ให้พร้อมตามความต้องการ สามารถติดต่อได้ที่ โครงการหลวงแม่โถ(คุณกิ่ง) 088-4344902
ไฮไลท์สำคัญของโครงการหลวงแม่โถ คือ การได้เที่ยวแปลงผักสาธิต ของโครงการหลวง และได้ทานผักสดๆ จากแปลงผักกันเลยครับ โดยค่าอาหารในโครงการหลวงก็จะคิดเป็นหัว มื้อเช้า 80 บาท / มื้อกลางวัน 100 บาท / มื้อเย็น 150 บาท (สามารถเลือกได้ว่าต้องการทานอาหารของโครงการหลวงมื้อไหนบ้าง? แต่ต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบล่วงหน้า) ซึ่งต้องขอบอกเลยว่า.. กับข้าวที่นี่อร่อยทุกอย่าง โดยเฉพาะผักสดๆ นี่ ทั้ง กรอบ หวาน และ #ดีต่อพุง มากๆ
และ.. ที่อยากแนะนำ ก็คือ สถานที่เที่ยวที่เพิ่งเปิดใหม่มาไม่นาน ดอยแม่โถ 360 ที่อยู่ไม่ไกลจาก โครงการหลวงแม่โถ เป็นยอดดอยสูงที่ต้องใช้การเดินเท้าขึ้นไป และ ต้องปักหลักกางเต็นท์อยู่ข้างบน หากต้องการชมบรรยากาศสายหมอกยามเช้า หรือชมบรรยากาศยามเย็น ซึ่งวิวทิวทัศน์บนยอดดอยนั้น สวยงามมาก สามารถมองวิวได้รอบด้าน 360 องศา ลมพัดเย็นสบาย อากาศสดชื่น แถมดึกๆ สามารถมองเห็นดาวระยิบระยับเต็มท้องฟ้าอีกด้วย!
สรุปค่าใช้จ่ายสำหรับการขึ้นดอยแม่โถ 360
- ค่าเช่าเต๊นท์(กรณีค้างคืน) = 150 บาท/หลัง แผ่นรองนอน 30 บาท ถุงนอน 30 บาท
- ค่าลูกหาบ(กรณีมีสัมภาระเยอะ) = 300 บาท
- ค่าเหมารถ 4WD จากโครงการหลวงแม่โถ ไป-กลับ = 1000 บาท
- ค่าไกค์ชุมชน = 800 บาท/กลุ่ม
การเดินทางจากโครงการหลวงแม่โถ ไป ยอดดอย 360 นั้น จำเป็นจะต้องใช้ ไกค์ชุมชน ในการนำทางขึ้นไป เนื่องจากยังเป็นสถานที่เปิดใหม่ และ การเดินป่าขึ้นยอดดอย ต้องมีผู้ชำนาญเส้นทางในการพาเดินขึ้นไป จึงควรมีไกค์คอยมาดูแล และคอยให้คำแนะนำต่างๆ ซึ่งสามารถติดต่อไกค์ล่วงหน้าได้ที่โครงการหลวงแม่โถ เช่นกัน
แว๊นซ์สองล้อ เที่ยวทั่วดอย!
เพื่อความคล่องตัว และสะดวกในการเดินทาง ไปตามสถานที่ท่องเที่ยวตามจุดต่างๆ ในทริปนี้ จึงใช้ มอเตอร์ไซค์ เป็นหลัก โดยเช่ามอเตอร์ไซค์ คนละคัน จากตัวเมืองเชียงใหม่กันเลย ซึ่งก็ใช้บริการกับเจ้าเดิม เจ้าประจำอย่าง Bikky Chiangmai เพราะ สามารถมารับ-ส่ง รถที่ สนามบินเชียงใหม่ ได้เลย สะดวก สบาย ไม่เสียเวลา ลงเครื่องแล้วก็รับรถไปลุยต่อกันได้เลย..
ซึ่งในตอนแรก.. ก็มีความคิดว่าจะเช่ารถยนต์ขับเหมือนกัน เพราะ ราคาเช่ารถยนต์แล้วหารค่าเช่ากัน ก็ไม่ได้ต่างกับการแยกเช่ามอเตอร์ไซค์คนละคันแบบนี้สักเท่าไหร่ แถมนั่งสบายกว่า และ ถนนหนทางไปถึงโครงการหลวงแม่โถก็ขับสบายไม่ได้ลำบากอะไรมากมาย แต่.. ระหว่างทางจากโครงการหลวงไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ ที่อยู่โดยรอบนั้น ถนนบางช่วงขรุขระ แคบ ชัน และอันตราย จำเป็นจะต้องใช้ รถ 4WD ในการสัญจร ซึ่งถ้าขับรถยนต์ไปก็อาจจะต้องทิ้งรถไว้ที่โครงการหลวง แล้วใช้บริการเหมารถ 4WD จากทางโครงการหลวงไปอีกที ดังนั้น จึงคิดว่าเช่ามอเตอร์ไซค์แว๊นซ์ไปยาวๆ เลยดีกว่า ลุยไปได้ทั่วดอย แถมสนุก และได้บรรยากาศการเดินทางอีกด้วย!
DAY #1
09.00 น. ออกเดินทาง!
เริ่มต้นออกเดินทาง.. ที่ สนามบินสุวรรณภูมิ ในครั้งนี้ผมออกเดินทางสะดวกสบายด้วย สายการบินบางกอกแอร์เวย์ สามารถเข้าไปเปรียบเทียบราคาที่ดีที่สุด พร้อมจองตั๋วบางกอกแอร์เวย์ได้ง่ายๆ ผ่าน เวปไซต์ Traveloka จองง่าย จ่ายชำระได้หลากหลายช่องทาง เลือกไฟล์ทตามที่ต้องการได้ที่ Link นี้เลยครับ https://www.traveloka.com/th-th/bangkok-airways แนะนำเลย สะดวกมาก!
วันนี้เดินทางมาสนามบินเร็วมาก ประเด็นสำคัญที่รีบมาเร็วก็ไม่มีอะไรมาก แค่อยากอยู่ในเลาจน์นานๆ เท่านั้นเองครับ!
มาถึงสนามบินก็เดินมาที่ เคาร์เตอร์แถว F จัดการเช็คอิน และ โหลดสัมภาระที่หนักพอสมควร เพราะว่าใส่ถุงนอน และยัดเสื้อกันหนาวมาหลายตัวเกรงว่าอากาศจะหนาว
ได้ Boarding Pass มาเรียบร้อย ก็ตรงดิ่งไปเข้าเลาจน์ทันที มีพี่หมียืนต้อนรับผู้โดยสารอยู่ด้านหน้า ก็แสดงบัตรโดยสาร กับเจ้าหน้าที่ก่อนเข้าไปข้างใน และ เจ้าหน้าที่ก็จะให้รหัส wifi ไว้ใช้ด้วย
มุมหนังสือพิมพ์ และ นิตยสารต่างๆ สำหรับหยิบไปอ่านรอเวลาก่อนออกเดินทาง
และ ที่ไม่พลาด มุมอาหาร และ เครื่องดื่ม สำหรับมื้อเช้านี้ คงได้ฝากท้องไว้กับที่นี่..
อาหารต่างๆ ที่ให้บริการภายในเลาจน์ มีให้เลือกมากมาย สามารถเลือกทานได้ตามใจชอบ
แต่ที่เด็ดสุด.. และคุ้นเคยกันดี ก็คือ ข้าวต้มมัด มีโอกาสใช้บริการเลาจน์ทีไร ไม่มีพลาด
มื้อเช้า ก่อนออกเดินทางสำหรับวันนี้ อร่อยทุกอย่าง อิ่มท้อง พร้อมลุย!
เล่นมือถือบ่อย จนแบตหมด ก็แวะมาเพิ่มพลังให้กับมือถือได้ มีอยู่ทั่วทุกจุดเลย ภายในเลาจน์เลย
เมื่อจัดการกับอาหารจนอิ่มเต็มที่ และสมควรแก่เวลาแล้ว ก็เดินมาเข้า Gate ครับ เดินไม่ไกล เพราะ อยู่ตรงข้ามเลาจน์นั่นเอง
สภาพอากาศวันนี้ อากาศดี ท้องฟ้าแจ่มใส แดดแรงมากๆ นั่งอยู่ใน Gate ได้ไม่นานก็ เรียกขึ้นเครื่องแล้ว.. พร้อมออกเดินทางกัน!
แม้ช่วงนี้.. จะเข้าสู่หน้าหนาวแล้ว แต่ กทม. ยังคงมีอากาศร้อนอยู่ ยังไงก็ขอตัวลา กทม. บินไปหาความหนาวที่เชียงใหม่ สัก 2-3 วัน ก่อนนะ
ยังรู้สึกอิ่ม.. กับอาหารในเลาจน์ อยู่เลย พอเครื่องขึ้นไปได้ไม่นาน พนักงานต้อนรับ ก็เตรียมมาเสริฟอาหาร ให้อิ่มเข้าไปอีก.. ในไฟล์ทนี้ มีผู้โดยสารเต็มลำเลย เพราะ เป็นช่วงใกล้วันหยุดยาวพอดี
ได้อาหารมาแล้ว! ตอนมาเสริฟแรกๆ เหมือนจะกินไม่ไหว เพราะอิ่มมาก่อนหน้านั้นแล้ว แต่ไปๆมาๆ กินเพลินๆ ดูวิวไปพลางๆ หมดเกลี้ยงไปซะงั้น อร่อยดี!
11.00 น. จากสนามบินเชียงใหม่ สู่ โครงการหลวงแม่โถ
ใช้เวลาในการเดินทางชั่วโมงเศษๆ ก็มาถึง “สนามบินเชียงใหม่” ผมมีนัดหมายกับสมาชิกอีกสองคนที่นี่ จุดนัดหมายของเราก็คือ จุดรับ-คืนรถ ของ Bikky Chiangmai ภายในบริเวณลาดจอดรถของสนามบินเชียงใหม่ เราได้ติดต่อจองรถมอเตอร์ไซค์ กับ Bikky Chiangmai เอาไว้คนละคัน ทั้งหมด 3 คัน เป็นรถมอเตอร์ไซค์ Zoomer X ในราคาเช่าต่อวัน วันละ 300 บาท(เติมน้ำมันเอง) + ค่ารับและคืนรถที่สนามบิน 100 บาท/คัน โดยจะเช่ารถทั้งหมด 2 วัน(48 ชั่วโมง) พอดี ก็รวมเป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมด = 700 บาท/คน/คัน(ไม่รวมน้ำมัน)
“เอามอเตอร์ไซค์ไปจริงเหรอพี่.. เกือบ 200 โล เลยนะ” รุ่นน้องหนึ่งในผู้ร่วมทริปเอ่ยถามขึ้นมาเป็นคำถามแรกด้วยความไม่แน่ใจ เมื่อเห็นหน้าผมโผล่มาที่จุดนัดหมาย
“แบบนี้แหละ ถึงจะมันส์.. ค่อยๆ ไปเรื่อยๆ ชมบรรยากาศไป” ผมได้แต่ตอบกลับไปโดยไม่ลังเล
“แต่ค่าเช่ามอไซค์ ของเรา 3 คน นี่เช่ารถยนต์ขับไปสบายๆ เลยนะพี่ นั่งสบาย ไม่ต้องตากแดดร้อนด้วย ฮ่าๆ” รุ่นน้องอีกหนึ่งคนเสนอความคิดเห็นเผื่อจะเปลี่ยนรูปแบบการเดินทางกัน แต่ก็ไม่เป็นผล..
และ.. สุดท้ายเราก็ลงความเห็นกันตามที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก คือ แว๊นซ์มอไซค์ กันยาวๆ ไปจนถึง โครงการหลวงแม่โถ เพราะ ดูคล่องตัว และ น่าสนุกกับการเดินทางแบบนี้ดี เรายืนคุยกัน วางแผน และทำความเข้าใจกัน จนเวลาล่วงเลยไปจนเกือบจะบ่ายโมง แต่ก็ยังไม่เริ่มต้นออกเดินทางกันสักที จึงรีบทำเรื่องเช่ารถ เซ็นต์เอกสารต่างๆ รับรถ และเช็คสภาพรถให้เรียบร้อย พาหนะใน ทริปนี้..ได้รถ Zoomer X มาคนละสี พร้อมลุย!
สำหรับเส้นทางการเดินทาง จาก สนามบินเชียงใหม่ เมื่อออกจากประตูสนามบินจะเลี้ยวขวาไป ประมาณ 500 เมตร จะมีปั๊มน้ำมันอยู่ฝั่งซ้ายมือ เราแวะเติมน้ำมันให้เต็มถึงกันเสียก่อน จากนั้น.. เลี้ยวขวาเข้าสู่ เส้นทาง 108 ผ่าน อำเภอจอมทอง จนถึง อำเภอฮอด (ประมาณ 88 กิโลเมตร) แล้วเลี้ยวขวา ผ่าน อช.ออบหลวง ผ่าน สวนสนบ่อแก้ว จนไปถึง แยกบ้านกองลอย(ประมาณ 55 กิโลเมตร) แล้วเลี้ยวขวาขึ้นไปอีกราว 16 กิโลเมตร ก็จะถึง โครงการหลวงแม่โถ รวมระยะทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ ประมาณ 160 กิโลเมตร
การเดินทางในช่วงแรกค่อนข้างเคลื่อนตัวไปได้ช้า.. เพราะการจราจรในตัวเมืองเชียงใหม่ค่อนข้างติดขัด รถราเยอะ ต้องใช้ความระมัดระวังในการขับขี่ อีกทั้ง แยกไฟแดง ระหว่าง ตัวเมืองเชียงใหม่ กับ อำเภอหางดง ก็มีเยอะเช่นกัน พอผ่านพ้นอำเภอหางดง มาได้ ก็เข้าสู่เขต อำเภอจอมทอง รถราก็เริ่มดูเบาบางลงมาหน่อย และ ด้วยสภาพอากาศตอนบ่ายที่แดดแรงจัด เราจึงขอแวะพักรถ พักคน พร้อมเติมพลังกันสักหน่อย กับ ข้าวซอย ที่ปั๊ม ปตท. จอมทอง
ออกจาก อำเภอจอมทอง มุ่งหน้าสู่ อำเภอฮอด แล้วเลี้ยวขวาไปทาง อช.ออบหลวง ช่วงเวลาการเดินทางในช่วงนี้เป็นอะไรที่ชิลล์มากๆ เราขับขี่กันไปเรื่อยๆ อย่างไม่รีบร้อน ชมวิวริมทางไปเรื่อยๆ ถนนเส้นนี้มีต้นไม้เยอะ และเลียบไปกับแม่น้ำ จึงให้บรรยากาศที่รู้สึกสดชื่นดี ไปกันเรื่อยๆ เหนื่อยก็แวะจอดพัก..
16.00 น. สวนสนบ่อแก้ว
ไม่แวะ ก็คงไม่ได้.. หลังจากขับผ่าน อช. ออบหลวง มาได้ราว 22 กิโลเมตร ภาพที่เห็นอยู่ติดริมถนนฝั่งซ้ายมือ คือ ป่าสน หรือที่รู้จักกันดีกับ สวนสนบ่อแก้ว ซึ่งบรรยากาศช่วงบ่ายแก่ๆ อย่างนี้ เชื้อเชิญให้แวะเข้าไปถ่ายรูปยิ่งนัก.. และ ไม่ต้องใช้เวลาในการคิดมาก เราต่างหันหัวแวะจอดรถโดยไม่ต้องบอกกล่าวกันเลย ช่วงเวลานี้อาจเป็นเพราะว่า เป็นช่วงเย็นมากแล้ว เลยไม่ค่อยเห็นคนมาเที่ยวสักเท่าไหร่ ตอนแรกนึกว่าคนจะเยอะกว่านี้เสียอีก..
เมื่อเข้ามาภายในสวนสน จะเห็นต้นสนเป็นจำนวนมาก ปลูกเต็มพื้นที่ไปหมด โดยเฉพาะตรงริมถนนทางเข้านี้ ปลูกเรียงรายเป็นแถวอย่างสวยงามทั้งสองข้างทาง เป็นจุดที่หลายๆ คนชอบแวะมาถ่ายรูปกัน
เดินเล่นชมบรรยากาศภายในบริเวณนี้กันสักหน่อย ถ้าจะให้เหมาะ ช่วงที่น่ามาเที่ยวมากที่สุด ก็น่าจะเป็นช่วงเวลาเช้าๆ มีสายหมอกบางๆ พาดผ่านทิวสน น่าจะได้บรรยากาศที่ดีมาก
จาก สวนสนบ่อแก้ว ไป โครงการหลวงแม่โถ เหลือระยะทางอีกไม่ไกลนัก ยังพอมีเวลาพักยืดเส้นยืดสายกันสักหน่อย
สำหรับใครที่มีโอกาสไปท่องเที่ยวเชียงใหม่แล้วได้ใช้เส้นทาง ฮอด-แม่สะเรียง ก็คงจะไม่พลาดแวะ “สวนสนบ่อแก้ว” นะครับ อยู่ติดถนนเลย แวะได้ง่าย แถมบรรยากาศโดยรวมก็ดูสวยดีนะ!
17.00 น. ความงดงามของสองข้างทาง
จาก สวนสนบ่อแก้ว มาประมาณ 10 กิโลเมตร ก็มาถึง บ้านกองลอย เราจะมาแวะเติมน้ำมันกันที่นี่กันอีกครั้ง เพราะ ณ ขณะนี้ น้ำมันที่เติมเต็มถังก่อนออกเดินทาง เหลือเพียงแค่ก้นถังเท่านั้น ซึ่ง บ้านกองลอย จะมีปั๊มน้ำมันที่อยู่ติดกับสถานีตำรวจ สามารถแวะมาเติมน้ำมันก่อนจะขึ้นไปบนโครงการหลวงแม่โถ ก็ได้ และในระหว่างที่เราแวะพักเติมน้ำมันอยู่นั้นก็ได้มีโอกาสหยิบมือถือขึ้นมาดู ก็พบว่า.. มีสายโทรเข้ามาหลายสายที่ไม่ได้รับ!! เป็นสายของ คุณกิ่ง เจ้าหน้าที่โครงการหลวงแม่โถนั่นเอง ผมจึงรีบโทรกลับไป จึงได้ทราบว่า.. คุณกิ่ง จะโทรมาสอบถามว่าเดินทางถึงไหนกันแล้ว เห็นว่าค่ำมากแล้ว แต่ว่าเรายังมาไม่ถึงกันสักที ก็เลยเป็นห่วง เพราะถนนหนทางยามมืดมิด การขับขี่ค่อนข้างจะอันตราย ให้รีบมาถึงก่อนที่จะค่ำ เพราะหน้าหนาว ความมืดมิดมันมาเร็วกว่าปกติมาก ผมจึงแจ้งกับคุณกิ่งกลับไปว่า.. จะไปถึงไม่เกิน 6 โมงเย็นอย่างแน่นอน และ รบกวนคุณกิ่งให้เตรียมอาหารเย็น ไว้ให้อีกด้วย
ตรงแยกบ้านกองลอย เราเลี้ยวขวาขึ้นไต่เนินเขาเพื่อไป โครงการหลวงแม่โถ จากจุดนี้ไปเหลือเพียงแค่ราว 16 กิโลเมตร เท่านั้น
เป็น 16 กิโลเมตร ที่ เส้นทางมีความลาดชัด และคดเคี้ยว แต่ระหว่างทาง สองข้างทาง มีบรรยากาศที่สวยงามมาก โดยเฉพาะเวลายามเย็นเช่นนี้
เมื่อเข้ามาสู่ถนนเส้นนี้ จะพบว่า.. รถราน้อยลงถนัดตา นานๆ ทีจะสวนมาสักคันนึง บรรยากาศยามเย็นจึงชิลล์มาก ตลอดระยะทางเส้นนี้ก็เลยแวะถ่ายรูปริมทางกันมากขึ้นเช่นกัน
พวกเราได้สัมผัสถึงอากาศที่หนาวเย็นกันอย่างเต็มตัว เพราะ ระยะทางจะเริ่มไต่ระดับขึ้นสูงขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับความมืดมิด ที่เริ่มย่างกรายเข้ามา ทำให้รู้สึกหนาวเย็นขึ้นเรื่อยๆ
ความหนาวเย็นเริ่มเข้ามาปกคลุม กับ ระยะทางอีกไม่ไกลก็จะถึงจุดหมาย สายตาก็สอดส่ายชมบรรยากาศยามเย็น ตามทิวเขา และ หุบเขา สองข้างทาง เป็นบรรยากาศที่ยากเกินจะบรรยาย เราจอดแวะรถกันจุดสุดท้าย เพิ่อชมพระอาทิตย์ตกลับหลังทิวเขาไป
เป็นการชมบรรยากาศความสวยงาม ก่อนสิ้นแสงสุดท้ายของวันนี้..
18.00 น. ถึงแล้ว.. โครงการหลวงแม่โถ!
ในที่สุด ก็..มาถึง โครงการหลวงแม่โถ จนได้! ใช้เวลาเดินทาง พร้อมแวะเที่ยวรายทาง ก็ร่วมๆ 4-5 ชั่วโมง เมื่อเดินทางมาถึงก็ จอดมอเตอร์ไซค์ตรงที่จอดให้เรียบร้อย ซึ่งในช่วงเวลานี้ก็แทบจะมองอะไรไม่ค่อยเห็นกันแล้ว มีเพียงแต่แสงไฟจากส่วนกลาง และที่พัก เท่านั้น ที่พอจะให้แสงสว่างบ้าง เราได้ทักทายกับคุณกิ่งเล็กน้อย(ขณะที่คุณกิ่งกำลังง่วนกับการทำอาหารมื้อเย็นให้เราทานอยู่) จากนั้นก็มีเจ้าหน้าที่โครงการหลวงมาพาพวกเราเข้าสู่ที่พัก ซึ่งที่พักของเราในคืนนี้เป็นบ้านพักหลังใหญ่ มีทั้งหมด 3 ห้อง ที่พักจะคิดเป็นคน คนละ 150 บาท/คืน เท่านั้น ราคาถูกมากๆ มีฟูก ที่นอน ผ้าห่ม ให้พร้อม! และ.. ในคืนนี้มีเพียงแค่เรา 3 คนเท่านั้น ที่เข้ามาพัก เหมือนได้ยึดบ้านทั้งหลังเลย..
พื้นที่บริเวณส่วนกลางของบ้านพัก มี ทีวี ตู้เย็น สำหรับใช้ร่วมกัน และ จะเห็นหน้าต่างฝั่งซ้ายมือ ตรงนี้ก็สามารถชมวิวยามเช้าได้ เป็นบ้านพักที่มีวิวสวยดี มองเห็นจากบ้านพักได้เลย.. ซึ่งขณะนี้ก็มืดค่ำ มองอะไรไม่เห็นแล้ว คงต้องรอตื่นมาชมวิวในช่วงเช้า
สำหรับห้องน้ำ.. คนที่ไม่ชอบอาบน้ำในบรรยากาศหนาวๆ ก็ไม่ต้องกังวลไป ที่นี่มีเครื่องทำน้ำอุ่นด้วย มีห้องอาบน้ำที่มีเครื่องทำน้ำอุ่นอยู่ 2 ห้อง อาบสบาย ไม่ต้องแย่งกันครับ..
19.00 น. ได้เวลา.. อาหารเย็น!
เก็บของเข้าที่พัก นอนแผ่หราพักร่างกายกันสักพัก.. คุณกิ่งก็มาเรียกเราให้ไปทานมื้อเย็น ซึ่งมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อยพร้อมทานแล้ว เราก็ล้างไม้ล้างมือ ก่อนจะเดินออกไปยังจุดทานอาหารตรงส่วนกลาง อาหารทุกอย่างเตรียมพร้อม อยู่บนโต๊ะอาหารแล้ว! และ เราก็ทราบมาอีกว่า.. ที่คุณกิ่ง เพิ่งจะมาเตรียมอาหารก่อนที่เราจะเดินทางมาถึงไม่นาน ก็เพราะอยากให้ได้ทานอาหารกันแบบร้อนๆ จากเตา จะได้ทานอร่อยๆ ซึ่งสำหรับมื้อเย็นนี้มีอยู่ 5-6 อย่าง กับข้าวทุกอย่าง ทุกเมนู ดูน่าทานมากๆ
ผักสด และ วัตถุดิบการทำอาหารต่างๆ ก็ได้มาจากโครงการหลวงนี่เอง สำหรับจานแรกนี่คือ เบบี้ฮ่องเต้ผัดน้ำมันหอย ผัก เบบี้ฮ่องเต้ หวาน มาก กินกับข้าวสวยร้อนๆ สุดยอดเลย
จานนี้ ผัดน้ำมันหอยเช่นกัน แต่เป็น เบบี้คอส ทานร้อนๆ อร่อยเช่นกัน
ซดน้ำร้อนๆ กับ ต้มยำไก่ ท่ามกลางบรรยากาศหนาวๆ ลมโชยมาเป็นระยะ ได้ซดอะไรร้อนๆ แบบนี้ ฟินเลย!
ปวยเล้งผัดน้ำมันหอย ได้อารมณ์การกินผักไปอีกแบบ ได้รสชาติของความหวาน มาจากข้างในเลยทีเดียว
ขาดไม่ได้เลย สำหรับเมนูนี้ ไข่เจียว ร้อนๆ ยิ่งทานตอนหนาวๆ แบบนี้ นี่ยิ่งอร่อยขึ้นไปอีก
และ เมนูสุดท้าย ที่ผมถือว่าเป็นเมนูพระเอกสำหรับมือนี้เลย นั่นก็คือ เบบี้คอสสด กับ น้ำพริกอ่อง นี่คือ.. สุดยอดของการกินผักสดกับน้ำพริกจริงๆ เบบี้คอสสดๆ จากแปลงผัก ทั้งกรอบ และหวาน มาทานกับน้ำพริกอ่อง ร้อนๆ อร่อยจริงๆ ครับ มาโครงการหลวงแม่โถ ต้องไม่พลาดเมนูนี้เลย!
สำหรับผมชอบกินสดๆ แบบนี้เลยครับ ไม่ต้องพึ่งข้าว.. โดยตักน้ำพริกมาใส่ลงใจกลางใบเบบี้คอส แล้วก็เอาใส่ปากเลย เหมือนกินเล่นๆ แต่ อร่อยดี ผักนี่กรอบ หวานได้ใจเลย..
เรานั่งล้อมวง.. ทานข้าว กันจนอิ่ม ก็นั่งสนทนากันไปตามประสากันต่อ บริเวณทานข้าวตรงนี้ที่จริงบรรยากาศดีมาก แต่ช่วงเวลาค่ำมืดอย่างนี้ มองอะไรแทบไม่เห็น จะพอรับรู้และสัมผัสได้ก็คงเป็นเพียงลมหนาวที่พัดมาปะทะร่างกายเป็นระยะๆ เท่านั้น เราได้ชักชวน คุณกิ่ง มาร่วมวงสนทนาด้วย เพื่อสอบถามถึงโปรแกรมการเดินทางในวันถัดๆ ไป และ ข้อมูลต่างๆ ภายในโครงการหลวงแห่งนี้ ซึ่งคุณกิ่งก็ยินดีให้คำแนะนำเป็นอย่างดี โดยในวันรุ่งขึ้นจะมีโปรแกรม ดังนี้
- เช้า – ออกไปชมวิวยามเช้าที่ จุดชมวิวบริเวณทุ่งหญ้าสะวันน่า แล้วกลับมาทานมื้อเช้าที่โครงการหลวง
- สาย – เที่ยวชม แปลงผักสาธิต บริเวณโครงการหลวงและใกล้เคียง
- เที่ยง – ทานอาหารมื้อเที่ยงที่โครงการหลวง
- บ่าย – เที่ยว น้ำตกแม่แอบ
- เย็น – เดินขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตกบน ดอยแม่โถ 360 พร้อมกางเต็นท์นอนข้างบน
เมื่อทำความเข้าใจ และ นัดหมายเวลา กันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาแยกย้ายกันไปพักผ่อน อาบน้ำ เตรียมเข้านอน ซึ่งอากาศหนาวๆ อาบน้ำมาเย็นๆ สบายตัวอย่างนี้ แล้วได้มาซุกตัวอยู่ในผ้าห่มอุ่นๆ เพียงไม่นานก็เผลอ หลับไปทุกคนโดยไม่รู้ตัว..
DAY #2
05.00 น. ตื่นเช้า… ไปแว๊นซ์ชมวิว!
…ตั้งนาฬิกาปลุก ไว้ที่ตี 5
ตั้งใจว่าจะตื่นขึ้นไปชมวิวยามเช้ากันครับ ล้างหน้าล้างตากว่าจะได้ออกจากที่พักก็เกือบจะ 6 โมงเช้า เราพากันแว๊นซ์มอ’ไซค์ไปตามเส้นทางที่คุณกิ่งได้แนะนำไว้เมื่อคืนครับ จุดประสงค์ก็ไม่มีอะไรมากแค่อยากขี่มอเตอร์ไซค์ชมวิว ชมบรรยากาศยามเช้าบนดอยไปเรื่อยๆ ไหนๆ ก็มาพักผ่อนกันไกลซะขนาดนี้ ก็อยากเต็มอิ่มกับธรรมชาติบ้าง
เส้นทางเรามากันนั้นเป็นเส้นทางเดียวกับที่จะขึ้นไป ทุ่งหญ้าสะวันนา และ ดอยแม่โถ 360 แต่เราไม่ได้ขึ้นไปถึงตรงบริเวณดังกล่าว เพราะว่ารู้สึกไกลไป และมีเส้นทางที่ค่อนข้างโหดพอตัว อีกอย่างยังไงเดี๋ยวช่วงเย็นๆ ก็ต้องไปกันที่นั่นอยู่แล้ว ก็ถือว่ามาสำรวจเส้นทาง และชมบรรยากาศแค่ตรงนี้ก็พอ
จุดนี้ อยู่ห่างโครงการหลวงแม่โถ มาราว 3 กิโลเมตร เราจอดมอเตอร์ไซค์และเดินเท้าขึ้นไปบนเนินเขาที่สามารถมองวิวได้รอบด้าน ช่วงเช้าอย่างนี้ อากาศช่างหนาวจับใจ และ มีหมอกลงจัดในบางช่วงเหมือนกัน
สายหมอก และ ดอกหญ้า เฝ้ารอแสงอาทิตย์พ้นขอบฟ้า
เดินลัดเลาะ ตามเนินเขาเล็กๆ ชมบรรยากาศไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดหมาย
ท่ามกลางบรรยากาศทิวเขาน้อยใหญ่รอบตัว ณ เวลานี้ มีเพียงความเงียบสงบ ได้ยินแต่เสียงลมพัด เท่านั้น
แหวกดอกหญ้า เดินขึ้นเนิน เนินแล้ว เนินเล่า
การขับขี่มอเตอร์ไซค์ต้องใช้ความระมัดระวังมาก เพราะ ถนนหนทางจากโครงการหลวง ขึ้นมาที่นี่.. ค่อนข้างโหดพอตัว ถนนขรุขระ แคบ ชัน และ อันตราย เพราะ ลัดเลาะไปตามไหล่เขา ซึ่งถ้ารถตกถนนก็อาจจะตกเขาได้เลย จึงต้องระมัดระวังอย่างมาก
ใกล้จะได้เวลาพระอาทิตย์ขึ้น เรามายืนรอดูแสงแรกของวัน อากาศบนนี้ช่างสดชื่น #ดีต่อปอด จริงๆ
เก็บบรรยากาศดีๆ ยามเช้ากันสักหน่อย มองไปทางไหนก็มีแต่เขา.. มีแต่เขา.. เต็มไปหมด
ไม่นาน.. พระอาทิตย์ ก็โผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมา เป็นสัญญาณของเช้าวันใหม่ เป็นเช้าที่อากาศสดใส
เพียงแค่นี้ก็คุ้มค่ากับการตื่นแต่เช้า แล้ว..ได้ตื่นมาสูดอากาศดีๆ อย่างนี้
ไอแดดเริ่มส่งความอบอุ่นมาเพิ่มขึ้นทีละนิด ได้เวลาที่เราจะต้องลงจากดอยกันแล้ว ระหว่างสองข้างทาง จะเห็น ดอกบัวตอง ส่งยิ้มทักทายให้ตลอดทาง แม้ที่อื่นๆ จะล่วงเลยช่วงเวลาที่ดอกบัวตองเบ่งบานเต็มที่แล้ว แต่ดอกบัวตองที่นี่..ยังคงมีความสดใสอยู่
แดดอุ่นๆ ยามเช้า ช่วยให้คลายความหนาวลงไปได้บ้าง
น้ำค้างเมื่อคืน อาจทำให้ถนนที่เป็นดิน มีความลื่นบ้าง จึงต้องค่อยๆ ลงจากดอยไปเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน
ช่วงขาขึ้น.. มองไม่ค่อยเห็นอะไรมากมาย เพราะยังไม่ค่อยมีแสงสว่าง แต่พอขาลง..อย่างนี้ สามารถเห็นวิวทิวทัศน์ได้ชัดเจน ระหว่างทางลงขากลับ จึงได้จอดแวะชมวิวได้เรื่อยๆ.. สายหมอกจางๆ ยามเช้าบรรยากาศดีมาก!
07.00 น. บรรยากาศภายในโครงการหลวงแม่โถ
ลงมาจากชมวิวบนดอย.. ก็กลับมาเข้าสู่หมู่บ้าน เห็นนักเรียนกำลังเดินทางไปโรงเรียนกันเต็มเลย บรรยากาศช่วงเช้าในหมู่บ้านก็เลยดูคึกคักขึ้นมาหน่อย
ดูวิถีชีวิตผู้คนในละแวกนี้สักพัก เราก็กลับเข้ามาถึงในโครงการหลวง ซึ่งเพิ่งจะได้มามองเห็นอะไรต่อมิอะไรก็ในตอนเช้านี้เอง เพราะเมื่อวานมาถึงซะดึก มองอะไรแทบไม่เห็น ก็ขอเดินสำรวจภายในบริเวณนี้กันสักหน่อย
บริเวณนั่งทานข้าว.. ที่เมื่อคืนก็นั่งทานกันตรงนี้แต่มองไม่เห็นอะไรเลย พอมาเห็นในช่วงเช้าแบบนี้ ต้องยอมรับว่า..เป็นมุมทานข้าว ที่บรรยากาศดีมากๆ ด้านล่างใกล้ๆ เป็นโรงเรือนแปลงผัก มีวิวทิวทัศน์ไกลๆ เป็นทิวเขาน้อยใหญ่อยู่ไกลโพ้น
เดินลงมาด้านล่างก็จะเป็นบรรดา โรงเรือน ที่ปลูกผักไว้ด้านใน มีผักมากมายหลายชนิดปลูกไว้ที่นี่ และผักเหล่านี้ก็จะกลายมาเป็นอาหารของเรานั่นเอง
ใกล้ๆ กัน ที่ปลูกเรียงกันเป็นแถวๆ อยู่เบื้องล่างนั้นเป็น เสาวรส
จะเดินกลับไปยังที่พัก ผ่านตรง จุดกางเต็นท์ของโครงการหลวง ถ้าใครอยากได้บรรยากาศการนอนเต็นท์ ก็สามารถมากางเต็นท์นอนที่นี่ได้ หรือถ้าไม่มีเต็นท์ก็สามารถมาเช่าเต็นท์และเครื่องนอน จากที่นี่ก็ได้เช่นกัน
เข้ามาสู่ที่พัก.. นี่คือวิว ที่สามารถมองเห็นจากหน้าต่างบ้านพัก ได้เลย บรรยากาศดีมากๆ เห็นทิวเขาและสายหมอกจางๆ ตื่นเช้ามาแทบไม่ต้องออกไปไหนเลย นั่งจิบกาแฟ ชมวิวอยู่ที่บ้านก็โอเคแล้ว!
ตรงข้ามกับ บริเวณที่นั่งทานข้าวกันนั้น จะเป็น สหกรณ์ ซึ่งจะมี สินค้า อาหารแห้ง และเครื่องดื่มไว้บริการ สำหรับผู้ที่ไม่ได้เตรียมแชมพู สบู่ ยาสีฟัน ก็มาซื้อที่นี่ได้ หรือ อยากหาขนมขบเคี้ยว ขนมทานเล่นก็พอมีให้เลือกอยู่บ้าง..
เวลาเปิด-ปิด สหกรณ์ อาจจะไม่เป็นเวลา เพราะเจ้าหน้าที่อาจมีภารกิจหน้าที่หรืองานเร่งด่วนที่ต้องไปทำ ไม่ได้อยู่เฝ้าสหกรณ์ตลอดเวลา ถ้าเห็นประตูสหกรณ์เปิด แล้วขาดเหลือสิ่งใดอยู่ให้รีบไปซื้อไว้ก่อนก็ดีครับ
สินค้าทั่วไปภายในสหกรณ์ครับ ขาดเหลือสิ่งใดมาหาซื้อเอาไว้ได้ เหมือนเป็นร้านค้าที่ใกล้ที่พักที่สุดแล้วครับ
08.00 น. ชมวิวไป.. กินไป.. กับอาหารมื้อเช้า!
มื้อเช้านี้.. ยังคงใช้บริการอาหารเช้าจากโครงการหลวงเหมือนเดิมครับ เพราะค่อนข้างจะสะดวกกว่าออกไปหากินข้างนอก ซึ่งที่จริงภายนอกรอบโครงการหลวง หรือ ตามหมู่บ้านใกล้ๆ ก็มีร้านอาหารร้านข้าวแบบง่ายๆ อยู่เหมือนกัน แต่มาเที่ยวโครงการหลวงแบบนี้ทั้งที ขอจัดอาหารของโครงการหลวงไปทุกมื้อเลยล่ะกันครับ
มานั่งกันที่โต๊ะตัวเดิม มุมเดิม เตรียมพร้อมทานอาหารมื้อเช้ากัน ซึ่งมื้อนี้ดูเหมือนจะเป็นอาหารเบาๆ กว่ามื้อก่อน หลักๆ ก็จะเป็น ข้าวต้มหมู มี ไข่ลวก พร้อมผัดผักจากโครงการหลวงอีก 2 อย่าง หน้าตาดูน่าทาน
ผัดผักมื้อเช้านี้ เป็น ผักคะน้าหมูน้ำมันหอย กับ ผัดปวยเล้งน้ำมันหอย
ข้าวต้มหมู ร้อนๆ จัดมาให้ 1 หม้อ ซึ่งแม้ครัวก็กำชับตอนมาเสริฟว่า.. ถ้าข้าวต้มไม่พอ ก็ไปเติมได้
ปกติมื้อเช้า.. เป็นมื้อที่เราทั้ง 3 คน ไม่ค่อยหิวกันสักเท่าไหร่ เพราะอาจจะดูว่าเช้าเกินไป กินอะไรกันไม่ค่อยลง แต่เพราะ อาหาร บรรยากาศ และ วิวทิวทัศน์ ทำให้เรานั่งทานกันไป คุยกันไป ชมวิวไปเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน บรรยากาศเพลินๆ ก็ทานกับข้าวหมดโดยไม่รู้ตัวเหมือนกัน อาหารที่นี่เขาทำอร่อยเลยล่ะครับ ยิ่งได้บรรยากาศดีๆ อย่างนี้นะ.. แจ่มเลย!
09.00 น. เที่ยวแปลงผักโครงการหลวงแม่โถ
มา โครงการหลวงแม่โถ ถ้าไม่ได้ชมแปลงผักสาธิต ก็คงมาไม่ถึงโครงการหลวงแม่โถ การไปเที่ยวชมแปลงผักในช่วงเช้าของวันนี้ เราได้ พี่ชาติ เจ้าหน้าที่โครงการหลวงแม่โถ อาสาพาพวกเราไปชมแปลงผักของโครงการหลวงแม่โถกัน โดยจะไปกันที่แปลงผักโซน A ซึ่งต้องลุยผ่านถนนลูกรังไปสักหน่อย และ มอเตอร์ไซค์ที่เราเช่ามา ก็สามารถไปได้ ไม่ลำบากอะไรมาก เพียงแต่ต้องเพิ่มความระมัดระวังเท่านั้นเอง – พี่ชาติ จะขี่มอเตอร์ไซค์นำทางไป และพวกเราก็ขี่ตามกันไปเป็นขบวน
ระหว่างทางก็จะเห็นการทำเกษตรกรรมของชาวบ้านละแวกนี้ มีการปลูกผักหลายชนิด ซึ่งที่เห็นอยู่นี้เป็น มะเขือเทศ ที่นำมาคัดเลือก พร้อมส่งออกสู่ตลาด
ลัดเลาะมาริมเขาไม่นานก็มาถึง โรงเรือนปลูกผักโซน A ของโครงการหลวง บรรยากาศรอบด้านดูเงียบสงบ แสงแดดที่ดูเหมือนจะร้อน แต่ก็ไม่ได้ร้อนอย่างที่เห็น อากาศในหุบเขาแบบนี้ช่างเย็นสบาย
พี่ชาติ แนะนำและให้ข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับการปลูกผักของโครงการหลวงได้ดีมากเลยครับ ได้ความรู้ใหม่ๆ เยอะเลย พี่ชาติใจดี และเป็นกันเองมากๆ อยากรู้ อยากถามอะไร พี่ชาติไขข้อข้องใจได้หมด
จากนั้น ก็พาเราเข้าไปชมในโรงเรือนปลูกผักครับ โซนนี้มีโรงเรือนอยู่เยอะเหมือนกัน ซึ่งพี่ชาติ ก็จะเลือกเฉพาะบางโรงเรือน ที่ปลูกผักแตกต่างกัน เพราะจะได้เห็นการปลูกผักแต่ละชนิด
การปลูกผักในโรงเรือนจะช่วยให้ควบคุมปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อการปลูกผักได้ เช่น แมลงศัตรูพืช ลมฟ้าอากาศ แสงแดด อุณหภูมิ เป็นต้น ผักจากที่นี่จึงมีความสวยงาม สด กรอบ หวาน และปลอดสารพิษ
หลังจากที่ลองชิมผักกันไป 2 มื้อ แล้ว นี่ก็คือ.. ผักที่เราคิดว่าชอบที่สุดแล้วครับ เบบี้คอส ได้มาเห็นต้นแบบเป็นๆ กันแล้ว
มีการปลูก การดูแล การให้น้ำ อย่างเป็นระบบ ใช้เวลาไม่นานก็สามารถเก็บผลผลิตได้แล้ว
เข้ามาชมอีกโรงเรือน เป็นโรงเรือนที่ต้นผักยังเล็กๆ อยู่ ยังไม่ได้แยกไปปลูกให้เป็นระเบียบ
โรงเรือนนี้ ใกล้จะเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว ผักดูเขียวสด น่าทานมาก
ระหว่างที่เราเดินเที่ยวชมแปลงผักในแต่ละโรงเรือน พี่ชาติ ก็จะคอยแนะนำให้ความรู้อยู่ตลอด ว่าผักชนิดนี้ปลูกยังไง? เก็บเกี่ยวได้ตอนไหน? ต้องควบคุมอะไรบ้าง?
พี่ชาติเล่าให้ เราฟังว่า.. ผักเหล่านี้ ส่วนหนึ่งจะถูกส่งตรงไป ยัง MK กับ Sizzler
ผักปวยเล้ง.. ที่เราทานกันไปทั้ง 2 มื้อ ที่ผ่านมา หน้าตาต้นเป็นๆ มันก็เป็นแบบนี้เอง!
ผักที่รู้จักกันดี อย่าง คื่นช่าย ก็มีเหมือนกัน.. ซึ่ง พี่ชาติ ก็ได้บอกกับเราว่า.. โรงเรือนทุกหลัง ได้กำหนดมาแล้วว่าต้องปลูกผักชนิดใด ทั้งนี้ก็เพื่อเฉลี่ยชนิดของพืชผักที่ปลูก ไม่ให้มีจำนวนของผลผลิตผักชนิดใดชนิดหนึ่งมากเกินไป
ใช้เวลาเดินเล่น ชมแปลงผัก จนอิ่มตา อยู่ประมาณเกือบชั่วโมง พี่ชาติ ก็พากลับออกมาจาก โรงเรือนโซน A เพื่อเดินทางกลับเข้าสู่ตัวโครงการหลวง
วิวดีตลอดทางอย่างนี้ ก็ไม่พลาดที่จะแวะจอดถ่ายรูป จนพี่ชาตินำเราล่วงหน้าไปไกล จนต้องหยุดรอเราเป็นพักๆ
ระหว่างทางกลับไปในตัวโครงการหลวง พี่ชาติได้พาแวะ บ้านเกษตรกรตัวอย่าง เป็นบ้านของ คุณเม่ย(ถ้าเขียนชื่อผิดต้องขออภัยด้วยนะครับ) ที่ภายในบริเวณบ้านได้จัดสรรพื้นที่ในการทำเกษตรกรรม มีทั้งการปลูกพืช และเลี้ยงสัตว์ต่างๆ มีชีวิตเรียบง่ายโดยยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
คุณเม่ย พาเราเข้ามาชม โรงเรือนสำหรับปลูกองุ่น ซึ่งปลูกได้ดีใน สภาพอากาศ และภูมิประเทศของที่นี่
เดินเข้ามาต่อที่ โรงเรือนไม้ดอกเมืองหนาว ตรงจุดนี้ คุณเม่ย มีโครงการที่จะทำร้านกาแฟ ในโรงเรือน ซึ่งอาจจะเสร็จสมบูรณ์เป็นรูปเป็นร่างในอีกสัก 1-2 ปีนี้ อนาคตถ้าใครมีโอกาสได้ไปเที่ยวโครงการหลวงแม่โถ อย่าลืมแวะไปจิบกาแฟ ชมดอกไม้สวยๆ ในโรงเรือนของคุณเม่ยได้นะครับ
มาดูในส่วนของการเลี้ยงสัตว์ คุณเม่ยพาเข้ามาดูการเลี้ยง หมูหลุม หลายคนคงยังไม่คุ้นหูกับคำนี้ ซึ่งการเลี้ยงหมูหลุม เป็นการเลี้ยงหมูแบบธรรมชาติ เลี้ยงง่าย ต้นทุนต่ำ กำไรดี
การเลี้ยงหมูหลุม เน้นการใช้วัสดุที่มีอยู่ตามธรรมชาติและในท้องถิ่นเป็นหลัก สามารถนำวัสดุที่เหลือใช้ต่าง ๆ กลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์หมุนเวียนได้อีก ทำให้ช่วยลดต้นทุนการเลี้ยงได้ค่อนข้างมาก เช่น สามารถใช้พืชหรือเศษผัก กลับมาทำเป็นอาหารหมักเลี้ยงหมูหลุม และในทางกลับกัน มูลและวัสดุในหลุมก็จะกลายเป็นปุ๋ยหมักอย่างดีนำไปใช้ปรับปรุงบำรุงดิน และใส่เป็นปุ๋ยบำรุงพืชต่อไปได้
คอกหมูหลุมจะแตกต่างจากคอกหมูโดยทั่วไป คือ นอกจากมีผนังกั้นคอกแล้ว ยังขุดหลุมให้ลึกลงไปอีกประมาณ 50-60 เซนติเมตร แล้วนำวัสดุที่ย่อยสลายได้ใส่ลงไปทดแทนดินที่ขุดออก
ถัดจากคอกหมูหลุมเข้าไปก็จะเป็น การเลี้ยงไก่ มีตู้ฟักไข่ ที่ช่วยให้อัตราการฟักไข่มีมากขึ้น
การอนุบาลลูกไก่ที่เพิ่งฟักออกมาจากไข่ เนื่องจากสภาพอากาศที่หนาว จึงต้องเอาใจใส่ให้ความอบอุ่มเป็นพิเศษ
แม้ว่าสภาพพื้นที่รอบๆ บ้านคุณเม่ย จะเป็นที่บนเชิงเขาที่มีความลาดชัน แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการทำเกษตรกรรม แต่อย่างใด และ จากการได้มาแวะบ้านเกษตรกรตัวอย่างนี้ ทำให้พวกเราได้ความรู้เกี่ยวกับการทำเกษตรกรรมบนพื้นที่สูง เรากล่าวขอบคุณ คุณเม่ยที่ใจดีพาเดินเที่ยวชมจนรอบพื้นที่ และกล่าวลาก่อนจะกลับเข้าไปในตัวโครงการหลวง
พี่ชาติขี่มอเตอร์ไซค์นำหน้าพาเข้าสู่ตัวโครงการหลวง พามาจอดรถที่หน้า โรงเรือนไม้ดอก โรงเรือนนี้ คือ โรงเรือนปลูก อัลสโตรมีเรีย ซึ่งเป็นพืชที่สามารถชักนำให้เกิดตาดอกได้ในสภาพที่อุณหภูมิของวัสดุปลูกเย็นอย่างสม่ำเสมอ จะออกดอกก็ต่อเมื่อได้รับความเย็นมากระตุ้นระยะหนึ่ง ฉะนั้นพื้นที่ที่จะปลูกอัลสโตรมีเรียได้ดี จะต้องเป็นพื้นที่ที่มีอากาศเย็น
ช่วงนี้ ยังไม่มีดอกบานเต็มที่ให้ชม ยังคงเห็นเป็นดอกตูม ที่รอเวลาเบ่งบานในอีกไม่ช้านี้
นอกจากนี้ก็ยังมีไม้ดอกชนิดอื่นๆ มากมายให้ได้ชม อวดสีสันสวยงามเต็มโรงเรือน ซึ่งดอกไม้พวกนี้จะส่งต่อไปยังตลาดที่ต้องการต่อไป
จุดสุดท้ายของการทัวร์รอบโครงการหลวงในช่วงเช้าวันนี้ มาที่.. อาคารที่ใช้เป็นที่รวบรวมผลผลิต ซึ่งผลผลิตที่ได้จากการเก็บเกี่ยวจะถูกส่งมารวบรวมที่นี่ก่อนจะถูกคัดเลือกให้ได้คุณภาพ และ เตรียมส่งออกผลผลิตสู่ภายนอกต่อไป
12.00 น. ได้เวลา.. อาหารเที่ยง!
กลับเข้ามาจัดการมื้อเที่ยงกันในโครงการหลวงเช่นเคย สำหรับอาหารมื้อเที่ยงจะเมนูอยู่ 4 อย่าง เน้นผักเหมือนเดิม ทั้งนี้หากต้องการทานผักอะไร หรือ เมนูอะไรเป็นพิเศษก็สามารถแจ้งไว้ก่อนได้ แต่สำหรับเราแล้ว.. ก็แล้วแต่แม่ครัวเลย ดูลุ้นดีว่าได้จะกินอะไรบ้าง?
เบบี้ฮ่องเต้ผัดน้ำมันหอย ผัดมาร้อนๆ กรอบ หวาน เหมือนเดิม ถือว่าเป็นเมนูที่ถูกใจมากๆ
ต้มจืดปวยเล้งเต้าหู้หมูสับ เมนูนี้เป็นการเอาปวยเล้งมาทำเป็นต้มจืด ก็อร่อยดี ได้ซดน้ำร้อนๆ เข้ากับบรรยากาศ
เบบี้คอสผัดน้ำมันหอย เบบี้คอสสดๆ นำมาผัดร้อนๆ กับน้ำมันหอย แล้วเสริฟเลยทันที ทานตอนร้อนๆ สุดยอด
และที่ขาดไม่ได้ ไข่เจียว เวลาอากาศหนาวๆ ไม่ว่าจะมื้อไหน ก็อร่อยเสมอ
นั่งทานไป ชมวิวกันไป เช่นเคย.. เรามีเวลานั่งทานข้าว นั่งย่อยอาหารพักผ่อนชมวิวกัน ประมาณ 1 ชั่วโมง ก่อนจะเดินทางในช่วงบ่ายไปยังสถานที่ต่อไป
13.00 น. เล่นน้ำตกแม่แอบ..แอบสมชื่อ!
ในพื้นที่สูงเช่นนี้.. อากาศช่วงบ่ายดูอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ไม่ถึงกับร้อน พี่ชาติส่งสัญญาณให้พวกเราไปลุยกันต่อ โดยในช่วงบ่ายนี้จะพาไปเที่ยว น้ำตกแม่แอบ ที่อยู่ห่างจากโครงการหลวงแห่งนี้ประมาณ 9 กิโลเมตร การเดินทางสู่น้ำตกแม่แอบยังคงค่อนข้างลำบากเหมือนเดิม เราแว๊นซ์มอเตอร์ไซค์ตามพี่ชาติ ไต่เขาลัดเลาะตามเส้นทางลูกรังเพื่อไปสู่จุดหมาย ซึ่งต้องขับขี่ด้วยความระมัดระวัง
บรรยากาศสองข้างทางที่ผ่านทิวเขาและท้องนาขั้นบันไดที่เพิ่งเก็บเกี่ยวข้าวไปได้ไม่นาน ทำให้อดใจไม่ไหวที่ต้องจอดถ่ายรูปกันสักนิด กับบรรยากาศดีๆ อย่างนี้ ซึ่งพี่ชาติก็ได้แนะนำว่า.. ให้มาช่วงหน้าฝน ท้องนาเขียวขจี บริเวณนี้จะสวยงามมาก
เดินทางกันจนมาถึงปากทางเดินเท้าเข้าป่าเพื่อเดินไปสู่ตัว น้ำตกแม่แอบ ด้วยความที่ตัวน้ำตก แอบอยู่ในป่าเช่นนี้ จำเป็นที่จะต้องมีคนนำทาง หรือ ไกค์ชุมชน ที่คุ้นเคยเส้นทางเข้าไปด้วย ซึ่งถ้าหากเดินเข้าไปเองอาจจะเดินเข้าไปไม่ถูก เพราะ เส้นทางเดินจะเลียบไปกับลำธาร และมีบางช่วงที่ต้องเดินลุยน้ำข้ามลำธาร
เดินลุยป่ากันมาสักพัก ก็จะถึงจุดที่ต้องเดินลุยน้ำข้ามลำธาร ซึ่งก็มีอยู่หลายจุดเหมือนกัน สายน้ำที่มากระทบกับผิวหนังในเวลานี้ช่างเย็นจับใจเสียจริง
จากปากทางเข้า สู่ ตัวน้ำตกต้องเดินเท้าทั้งหมดประมาณ 500 เมตร ให้เวลาเดินประมาณ 20-30 นาที ช่วงเวลาที่เดินข้ามลำธาร หรือ ลุยลำธารต้องระมัดระวังการเหยียบก้อนหินที่จะทำให้ลื่นด้วย
ไม่นาน.. ก็ได้ยินเสียงน้ำตกที่ส่งเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ในทุกขณะที่ย่างเท้าเข้าไปใกล้ๆ จนในที่สุด พอลับโค้งตรงต้นไม้ใหญ่ ก็เผยให้เห็นตัวน้ำตก ที่มีสายน้ำตกลงมาเป็นเหมือนม่านปกคลุมก้อนหินใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า ละอองน้ำที่แตกกระเซ็นพัดมาตามสายลม โชยมาปะทะกับผิวหน้า ชวนให้รู้สึกหนาวเย็นขึ้นไปอีกระดับ
นั่งพักเหนื่อย เงยหน้ามองน้ำตก ท่ามกลางธรรมชาติที่สงบเงียบ ซึ่งที่นี่ก็ให้ความรู้สึกถึงความดิบของธรรมชาติอยู่
น้ำตกแม่แอบ เป็นน้ำตกที่มีความสูงประมาณ 25 เมตร มีหน้ากว้างประมาณ 10 เมตร แม้จะรู้สึกว่าไม่ได้ใหญ่โตมาก แต่ก็เป็นน้ำตกที่มีความสวยงาม
สภาพอากาศอันหนาวเย็นไม่สามารถหยุดยั้งการลงเล่นน้ำของเราไปได้ เมื่อร่างกายได้สัมผัสน้ำ ทำให้รู้สึกถึงความหนาวเย็นมากขึ้นกว่าปกติหลายเท่านัก ถึงน้ำจะเย็นมาก แต่ก็ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาเยอะเหมือนกัน
เราใช้เวลาดื่มด่ำกับความเย็นฉ่ำของ น้ำตกแม่แอบ อยู่ราวครึ่งชั่วโมง ก็จัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วเดินตาม พี่ชาติ กลับออกมาจากป่าทางเดิม ไปยังจุดที่เราจอดมอเตอร์ไซค์ทิ้งไว้ ก่อนจะพากันกลับเข้าไปในตัวโครงการหลวงต่อไป..
ดอยแม่โถ 360 องศา
สำหรับชื่อ ดอยแม่โถ 360 องศา คิดว่าหลายๆ คนคงยังไม่รู้จัก ก็เพราะที่นี่เพิ่งเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปสัมผัสบรรยากาศได้ ไม่นานมานี้เอง! ดอยแม่โถ 360 องศา อยู่ไม่ไกลจาก ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่โถ สามารถชมวิวสวยๆ ได้บนยอดดอย ซึ่งว่ากันว่าเป็นบรรยากาศที่สวยงามมาก มองวิวได้รอบด้าน ลมพัดเย็นสบาย อากาศสดชื่น แถมดึกๆ สามารถมองเห็นดาวระยิบระยับเต็มท้องฟ้าอีกด้วย
การเตรียมตัวเดินทาง สู่ ดอย 360 ในการเดินทางจาก โครงการหลวงแม่โถ ไปยอด ดอย 360 นั้น จำเป็นจะต้องใช้ไกค์ชุมชน ในการนำทางขึ้นไป เพราะ ยังเป็นสถานที่เปิดใหม่ และการเดินขึ้นยอดดอย ต้องมีผู้ชำนาญทางในการพาเดินขึ้นไป จึงต้องมีไกค์คอยมาดูแล และคอยให้คำแนะนำต่างๆ ซึ่งสามารถติดต่อไกค์ล่วงหน้าได้ที่โครงการหลวงเช่นกัน สำหรับถนนหนทางไปสู่ ดอย 360 นั้นค่อนข้างที่จะลำบาก ทางขรุขระ มีความชัน ลัดเลาะไปตามเขา รถที่สามารถไปได้ก็ต้องลุยๆ อย่าง 4WD เท่านั้น(สามารถติดต่อเหมารถได้ที่โครงการหลวง ราคาไป-กลับ 1000 บาท) ซึ่งการเดินทางครั้งนี้เราใช้มอเตอร์ไซค์เป็นหลักอยู่แล้ว จึงไม่ต้องเช่ารถ 4WD เพื่อเดินทางไปดอย 360 จะแว๊นซ์กันไปจนถึงจุดกางเต๊นท์กันเลย..
15.00 น. กางเต็นท์นอนบนดอย 360
คืนนี้จะเปลี่ยนที่นอน.. จะไปกางเต็นท์นอนบนดอย 360 โดยเริ่มต้นการเดินทาง กันที่ โครงการหลวงแม่โถ เป็นจุดเริ่มต้นสู่ ดอย 360 ซึ่งสามารถมาติดต่อการขึ้นดอย 360 กันได้ที่นี่เลย เราจัดการติดต่อขอ เช่าเต๊นท์ 1 หลัง (นอนได้ 3-4 คน) ในราคา 150 บาท ต่อหลัง พร้อมกับ แผ่นรองนอน (30 บาท) และ ถุงนอน (30 บาท) และที่ขาดไม่ได้ ก็คือ เสบียงอาหาร น้ำดื่ม ที่ควรจัดให้พร้อมก่อนขึ้นดอยด้วย
เนื่องจากระยะเวลาการเตรียมตัวที่น้อย และตะลอนเที่ยวมาเกือบตลอดทั้งวัน ทำให้มีเวลาเตรียมของ เตรียมเสบียงน้อย แต่ก็ยังดีที่มี น้องโก้ ไกค์ของเราที่จะพาเดินขึ้นดอย 360 ในช่วงเย็นนี้ คอยจัดการหาเสบียงและเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ที่จำเป็นต้องใช้ โดย น้องโก้ จะมาเป็นไกค์ ทำหน้าที่พาเราขึ้นไปกางเต็นท์นอนดอย 360 และ คอยดูแลเราตลอดระยะเวลาที่อยู่ข้างบนครับ
เรายังคงใช้มอเตอร์ไซค์แว๊นซ์กันไปตามเคย ไปตามเส้นทางที่เราขึ้นไปชมวิวกันเมื่อตอนเช้า เส้นทางเดียวกัน เพียงแต่ว่า..ลึกกว่า และก็โหดกว่าด้วย แต่น้องโก้ ยืนยันกับพวกเราว่ามอเตอร์ไซค์ขึ้นไปได้ ถ้าพี่ชอบลุยๆ แบบนี้ก็ลองเลย!
ระยะทางจากโครงการหลวงแม่โถไปสู่จุดกางเต็นท์ ประมาณ 9 กิโลเมตร เส้นทางจะเป็นทางลูกรัง ขรุขระ เลียบไปตามเขา จึงควรใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะถ้าหลุดโค้งไปก็ได้ไหลตกเขากันเลยทีเดียว
ไกค์ของเรา แว๊นซ์มอเตอร์ไซค์นำทางลัดเลาะตามเขา เดินทางมาได้ประมาณ 4 กิโลเมตร มาถึง จุดแรก จุดนี้คือ ทุ่งหญ้าสะวันนา เป็นภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยต้นหญ้า และดอกหญ้า สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์รอบด้าน มาหยุดพักรถ พักก้นกันที่นี่.. เพราะทางขรุขระ ระบมก้นซะเหลือเกิน..
บรรยากาศบริเวณ ทุ่งหญ้าสะวันนา เป็นพื้นที่เปิดโล่ง มองเห็นบรรยากาศได้รอบด้าน แม้จะเป็นช่วงบ่ายแก่ๆ แต่ไม่รู้สึกร้อน และสัมผัสได้ถึงอากาศสดชื่น
เราแว๊นซ์ลุยกันต่อไป ผ่านโค้ง ผ่านเนิน ต่างๆ อีก 3.6 กิโลเมตร ก็มาถึง ลานกางเต็นท์ ซึ่งถ้าใครจะขึ้นยอดดอย 360 ก็สามารถมากางเต็นท์ได้ที่ตรงจุดนี้ แล้วเดินเท้าจากจุดกางเต็นท์นี้ขึ้นยอดดอย อีก 2.3 กิโลเมตร โดยจะเดินขึ้นตอนเช้าเพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้น หรือเดินขึ้นช่วงเย็นเพื่อชมพระอาทิตย์ตก ก็แล้วแต่ความสะดวก.. ซึ่งว่ากันว่าถ้าหากได้เดินขึ้นยอดดอย 360 ในช่วงเช้าก็มีโอกาสได้เจอทะเลหมอกที่สวยงามอลังการด้วย
บริเวณรอบๆ ลานกางเต๊นท์ จะมีพื้นที่ก่อไฟไว้ประกอบอาหารด้วย ไกค์แนะนำมาว่า..ถ้ากางเต็นท์แล้วต้องนอนเลย เพราะถ้ากางทิ้งไว้ แล้วเดินขึ้นไปบนยอดดอย กลับลงมาเต็นท์อาจหายไป เพราะว่าถูกลมพัด ดังนั้น เราจึงยังไม่ต้องกางเต็นท์ ไว้กลับลงมาจากยอดดอยเมื่อไร ค่อยจัดการกางทีหลัง
ข้างๆ ลานกางเต็นท์ ที่มองเห็นไกลๆ สีเขียวๆ เหมือนเป็นผ้าใบกั้นนั้นก็เป็น ห้องน้ำแบบง่ายๆ ซึ่งทั่วทั้งบริเวณนี้มีอยู่แค่นี้จริงๆ แบบลุยๆ กันสักหน่อย
ถัดจากลานกางเต็นท์ไปจะเป็นเส้นทางเดินป่าแล้ว ถ้าเหมารถ 4WD จากโครงการหลวงมาจะสิ้นสุดได้แค่ตรงนี้ หรือ ถ้าหากสภาพทางไม่ดี ถนนลื่น ก็ อาจจะสิ้นสุดตั้งแต่บริเวณทุ่งหญ้าสะวันนาก็ได้ ซึ่งต่อจากนี้จะเป็นเส้นทางเดินป่าที่แคบ แต่น้องโก้ ไกค์ของเราจะพาขี่มอเตอร์ไซค์ลุยเข้าไปอีกสักหน่อย เพราะทางราบในช่วงแรกยังพอใช้มอเตอร์ไซค์แทรกตัวเข้าไปได้อยู่
เราจอดมอเตอร์ไซค์ริมทางตรงถนนเล็กๆ ด้านล่าง ดูเหมือนว่าเป็นเส้นทางที่ต้องใช้มอเตอร์ไซค์สัญจรได้เท่านั้น ซึ่งเส้นทางต่อจากนี้ไปต้องเดินเท้าขึ้นเขาเท่านั้น เวลาไม่คอยท่า.. ต้องทำเวลาพอสมควร เพราะต้องการขึ้นไปให้ทันชมบรรยากาศพระอาทิตย์ตก ซึ่งระหว่างทางที่เดินไปนั้นก็ค่อนข้างชัน ต้องเตรียมร่างกายมาให้พร้อม และ อย่าลืมติดน้ำเปล่าไว้ไปดื่มระหว่างทางด้วย
สภาพทางที่เดินไปมีทั้งทางชัน ทางราบ และทางแคบๆ ที่ทั้งฝั่งซ้ายและขวา เป็นทางลาดลงไปเหมือนเดินอยู่บนสันหลังมังกร ถ้าหากไม่ระวังก็อาจพลาดกลิ้งตกลงไปโดยง่าย
เดินไปเรื่อยๆ ก็เริ่มไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ บรรยากาศรอบด้านก็สวยงามจนต้องแวะหยุดเก็บภาพเป็นระยะๆ
เกือบ 45 นาที ภาพข้างหน้าก็เห็นเป็นเงาของดอยสูงที่ไร้ซึ่งไม้ยืนต้น เหมือนเป็นเงาของขอบพีระมิดในมุม 45 องศา มาถึงตรงจุดนี้ก็เกือบขึ้นสุดยอดดอยแล้ว เดินขึ้นทางชันแบบนี้เล่นเอาเหนื่อยอยู่เหมือนกัน
บนยอดดอยมีธงชาติไทยปักอยู่ พัดปลิวไสวมองเห็นมาแต่ไกล ซึ่ง ณ ขณะนี้ เราก็เดินขึ้นมาทันดูพระอาทิตย์ตกพอดี
ยอดดอยบรรยากาศดีมาก สามารถชมวิวได้ 360 องศา กวาดสายตามองเห็นทิวเขาสลับซับซ้อนได้ไกลสุดลูกตา
เดินขึ้นมาถึงจุดสูงสุด ก็พักหายใจหายคอกันสักหน่อย มองย้อนกลับไปด้านหลังกับทางที่เพิ่งเดินไต่กันขึ้นมา ก็ดูค่อนข้างสูงชันเอาเรื่องเหมือนกัน
แม้จะได้เสียเหงือระหว่างทางที่เดินมาบ้าง แต่ภาพที่ได้เห็นรอบด้านก็ทำให้หายเหนื่อยได้อย่างรวดเร็ว
ก่อนดวงตะวันจะลาลับไป.. ช่วงนี้ คือ ช่วงเวลาที่ได้ดื่มด่ำกับธรรมชาติ บรรยากาศทิวเขาสลับซับซ้อน กวาดสายตามองได้โดยรอบ ทุกอย่างบนนี้ดูเงียบสงบ ได้ยินเพียงเสียงของลมหนาวที่พัดมาปะทะกับผิวกายเท่านั้น
เราชมธรรมชาติรอบด้านกันได้สักพัก ก็ได้เวลาพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้า…
พื้นที่ด้านบนค่อนข้างมีจำกัด จึงต้องระมัดระวังในการยืน และ หามุมในการถ่ายรูปสวยๆ มาเป็นที่ระลึก
เมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไป ความมืดมิดก็ย่างกรายเข้ามาปกคลุมอย่างรวดเร็ว พร้อมหอบเอาความหนาวเหน็บเข้ามาเพิ่มเติมอีกด้วย
พอฟ้าเริ่มมืด ก็เริ่มมองเห็น หมู่ดาว และ พระจันทร์ที่ยิ้มแฉ่งให้จากฟากฟ้า เหมือนเป็นรางวัลของการเดินทางมาพิชิตยอดดอย 360 ในวันนี้
18.00 น. กางเต็นท์ ดูดาว และ ปาร์ตี้รอบกองไฟ
ก่อนจะค่ำมืดดึกดื่นไปมากกว่านี้.. น้องโก้ ไกค์ของเรา ก็พาเดินฝ่าความมืดลงกลับจากยอดดอย ซึ่งบรรยากาศรอบด้านนั้นมืดมากๆ มองแทบไม่เห็นทาง มีเพียงไฟฉายสองกระบอกเล็กๆ ที่ส่องแสงนำทางให้เราเดินเรียงเดี่ยวลงมาเท่านั้น ตอนนี้เริ่มรับรู้ได้ว่าถ้ามากันเอง คงหาทางลงเองไม่ได้แน่ๆ เพราะป่ารอบด้านมันก็เหมือนๆ กันหมด ยิ่งมืด ยิ่งหลงทิศกว่าเดิม นี่คือ..ความจำเป็นที่จะต้องมีไกค์มาด้วยครับ ซึ่งไกค์จะชำนาญทาง และ แนะนำอะไรต่างๆ ระหว่างทางให้เราได้มากมายเลย ครับ ช่วงขาลงนี้ เราเดินกันได้เร็วมาก ทำเวลาได้ดี มีล้ม มีลื่นกันบ้าง เพราะทางชัน และมืด ต้องใช้ความระมัดระวังมากๆ ในบางจุดนี่ชันถึงขั้นตกเขาได้เลย ซึ่งพอเดินกลับมาถึงจุดกางเต็นท์ก็จัดการกางเต็นท์กันครับ
กางเต็นท์เสร็จก็รื้อฟื้นวิชาลูกเสือกันต่อ ด้วยการก่อไฟ เตรียมประกอบอาหาร ซึ่งก็มีน้องโก้ คอยจัดการดูแลทุกอย่างให้อย่างดีเลย เมนูรอบกองไฟคืนนี้ก็ง่ายๆ ก็มี มาม่าคัพ ไข่ต้ม และ หมูย่าง พอได้อิ่มสบายท้องในมื้อนี้
น้องโก้ จัดการนำหมูที่หมักกันเองแบบง่ายๆ มาเสียบ กับ กิ่งไม้แห้งที่หาได้ในบริเวณนั้น
จากนั้น นำมาย่างบนไฟอ่อนๆ ส่งกลิ่นหอม เรียกน้ำย่อยได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว..
ท่ามกลางบรรยากาศการกางเต็นท์ที่มีเพียงพวกเราเพียงกลุ่มเดียว รู้สึกได้ถึงความเป็นส่วนตัวมากๆ ได้ซึมซับบรรยากาศรอบด้านที่เงียบสงบ ได้ยินเพียงเสียงลมพัดเท่านั้น ท้องฟ้ายามค่ำคืนก็เต็มไปด้วยหมู่ดาวมากมายระยิบระยับเต็มฟ้า เห็นได้อย่างชัดเจน เพราะไร้แสงไฟมารบกวน
นอกจากนั้น.. ก็ทำให้เรารู้สึกว่าหลุดออกมาจากโลกภายนอกมากขึ้น เพราะบริเวณที่อยู่กันนี้ไร้สัญญาณโทรศัพท์จากทุกเครือข่าย แม้จะแอบมีคลื่นเข้ามาบ้างเล็กน้อย แต่การสื่อสารต่างๆ ก็ยังคงดูติดขัดอยู่ดี และ เนื่องจากการตะลอนเที่ยวมาตลอดทั้งวันตั้งแต่เช้าตรู่ ทำให้แบตโทรศัพท์มือถือของพวกเรา ค่อยๆ ทยอยหมดไปทีละคน รวมไปถึงกล้อง DSLR ที่ขอชัตดาวน์ตัวเองลงไปกับเขาด้วย หมดสิทธิที่จะได้ติดต่อสื่อสาร และ เก็บภาพบรรยากาศหลังจากนี้ไป แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเหมือนกัน.. เพราะ เมื่อไม่มีเครื่องมือสื่อสารกับโลกภายนอกแล้ว เราทั้งหมดก็พร้อมใจกันมาโฟกัสกันที่กองไฟข้างหน้า ..เหมือนว่าโลกของเรามีกันอยู่แค่นี้
ในบรรยากาศของความหนาวเหน็บ ก็ได้ความอบอุ่นจากกองไฟให้ความหนาวคลายตัวลงไปบ้าง เราจัดการอาหารมื้อค่ำนี้กันอย่างเอร็ดอร่อย ได้มีเวลาพูดคุยกันมากขึ้น สนทนารอบกองไฟกันอย่างออกรส.. เมื่อได้เวลาอันพอสมควรก็เข้านอน เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่ดีของการเดินทาง!
ปล. สุดท้ายนี้.. การเดินทางครั้งนี้ต้อง ขอขอบคุณ เจ้าหน้าที่โครงการหลวงแม่โถ พี่ชาติ น้องกิ่ง และเจ้าหน้าที่ทุกท่าน ที่คอยให้คำแนะนำในการเดินทางต่างๆ คอยดูแลเราเป็นอย่างดีตลอดระยะเวลาที่อยู่ในโครงการหลวงแม่โถแห่งนี้ และ ขอบคุณ น้องโก้ ไกค์ของเรา ที่ได้พาไปผจญภัยนำทางพาขึ้นไปบนยอดดอย 360 องศา พร้อมทำอาหารมื้อสุดวิเศษให้ได้ลองชิมกันในครั้งนี้ครับ!
การท่องเที่ยวเชิงไฉไล | CHAILAIBACKPACKER
Fanpage : https://www.facebook.com/chailaibackpacker
Instagram : CHAILAIBACKPACKER
Twitter : @chailaibackpack / goo.gl/VIBXC9