เมื่อผม.. ไปนอนเปลี่ยวที่กระท่อมกลางนาขั้นบันได ณ บ้านป่าบงเปียง กับบรรยากาศที่สุดจะฟิน!
“เปลี่ยว” … ก็เพราะว่า ทริปนี้ออกเดินทางลุยเดี่ยวคนเดียวครับ!
ด้วยความที่ “บ้านป่าบงเปียง” เป็นจุดหมายหนึ่งในลิสรายชื่อของเส้นทางที่ต้องไปเยือนให้ได้สักครั้ง พยายามเก็บข้อมูลรายละเอียดการเดินทางต่างๆ ที่พอทราบมาคร่าวๆ ว่า.. เส้นทางดังกล่าว ค่อนข้างที่จะโหด และเดินทางลำบากพอสมควร ยิ่งในช่วงหน้าท่องเที่ยวของที่นี่ คือ ฤดูฝน (ช่วงมีต้นข้าว) ด้วยแล้ว สภาพเส้นทางที่โดนฝนกระหน่ำ จากทางลูกรัง ดินขรุขระ ก็ย่อมที่จะกลายสภาพจนเละเป็นธรรมดา
แต่.. เพราะความสวยงามของนาข้าวเขียวขจี ที่ไล่ระดับ เป็นขั้นบันได และวิวทิวทัศน์ของขุนเขารอบด้าน ก็เป็นสิ่งดึงดูด ให้ใครหลายคน พร้อมลุยกับสภาพการเดินทาง เพื่อมาเห็น และมาสัมผัสกับบรรยากาศแบบธรรมชาติเช่นนี้ครับ!
นาขั้นบันไดบ้านป่าบงเปียง ..ไปเที่ยวช่วงไหนดี?
ช่วงเวลาที่แนะนำให้มาเที่ยวชม จะมี 3 ช่วง ก็คือ
- ช่วงดำนา(ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม – ปลายเดือนสิงหาคม) ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่เริ่มปลูกข้าว โดยชาวบ้านจะปักต้นกล้าลงไปในท้องนา ที่มีน้ำขัง ทำให้เห็นภาพสะท้อนของท้องฟ้า จากน้ำในท้องนา เป็นภาพที่สวยงาม
- ช่วงนาข้าวสีเขียว(ตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคม – กลางเดือนตุลาคม) เป็นช่วงที่ต้นข้าวเติบโตเขียวขจีขึ้นอัดแน่นเต็มท้องทุ่ง มองไปทางไหนก็ดูเขียวสบายตา รู้สึกสดชื่น ทำให้ช่วงนี้มีคนมาเที่ยวเยอะเป็นพิเศษ
- ช่วงนาข้าวสีทอง(ตั้งแต่กลางเดือนตุลาคม – ต้นเดือนพฤศจิกายน) เป็นช่วงที่ข้าวออกรวงเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง เตรียมพร้อมที่จะเก็บเกี่ยว ซึ่งเป็นช่วงที่สวยงามไปอีกแบบเช่นกัน เพราะจะเห็นนาขั้นบันได มีสีเหลืองทองอร่าม เหมือนถูกอาบไปด้วยสีทองฉาบไปทั้งผืนนา..
และ.. ในช่วงการเดินทางครั้งนี้ ก็ถือว่าเป็นช่วงที่ข้าวเริ่มจะขึ้นเขียวเต็มท้องนาแล้ว(กลางเดือนสิงหาคม) ซึ่งคาดว่า ประมาณกลางเดือนกันยายน นาข้าวจะเขียวแน่นขึ้นเต็มท้องนา
ที่พักในบ้านป่าบงเปียง
“บ้านป่าบงเปียง” จะมีที่พักไม่กี่หลังเท่านั้น(มีทั้งหมด 9 หลัง – 7 เจ้าของที่เป็นเครือญาติกัน) ซึ่งแต่ละหลัง.. ก็จะเป็นกระท่อมบ้านพักแบบง่ายๆ ไร้ซึ่งเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีทีวี ไม่มีพัดลม ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น เพื่อให้ได้อยู่กับธรรมชาติอย่างแท้จริง(บริเวณที่พักมีคลื่นสัญญาณโทรศัพท์ แต่สัญญาณเนตค่อนข้างอ่อน แต่ก็พอเล่นได้) ราคาที่พักจะคิดต่อคน คนละ 500 บาท (ที่พัก 1 คืน + อาหาร 2 มื้อ เย็น-เช้า) อยู่แบบง่ายๆ อาจจะดูไม่สะดวกสบาย แต่บรรยากาศนี่ให้เต็มร้อยเลยครับ
สำหรับการเดินทางในครั้งนี้ ผมได้เลือกไปนอนที่ “มาฉิโพ” ของพี่วิชัย ซึ่งหากต้องการมาพักก็ควรที่จะนัดหมายล่วงหน้า เนื่องจากในหน้าท่องเที่ยวช่วงนาขั้นบันไดแบบนี้ ที่พักมักจะเต็มในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ซึ่งสามารถโทรสอบถามก่อนได้ล่วงหน้า หรือ Line ไปถามพี่วิชัยดูก่อน(Add Line จากเบอร์โทรศัพท์ได้เลย อาจจะตอบกลับมาช้าหน่อยนะครับ) เบอร์ติดต่อมาฉิโพ 081-020-1691
การเดินทางสู่บ้านป่าบงเปียง
“บ้านป่าบงเปียง” สามารถเดินทางมาได้ 2 ทาง คือ
1. มาจากตัวเมืองเชียงใหม่ ผ่านอำเภอจอมทอง เลี้ยวขวามาตามเส้นทางสู่ยอดดอยอินทนนท์ เมื่อถึง ด่านจุดตรวจที่ 2 ก็แล้วซ้ายไปทาง อำเภอแม่แจ่ม ประมาณ 6-7 กิโลเมตร จะมีทางแยกขวาไปทางน้ำตกแม่ปาน ผ่าน หน่วยพิทักษ์น้ำตกแม่ปาน ซึ่งหลังจากนี้ จนถึง บ้านป่าบงเปียง สภาพเส้นทางเละ และลำบาก ต้องอาศัยรถ 4WD เท่านั้น! ซึ่งหากเอารถส่วนตัวมาเองก็สามารถขับมาจอดไว้ที่หน่วยพิทักษ์น้ำตกแม่ปานได้ และหลังจากนั้น ก็โทรให้ที่พักเอารถ 4WD ออกมารับได้(ค่าบริการรถ 4WD ไป-กลับ 700 /คัน นั่งได้ 5-6 คน) ซึ่งจะปลอดภัยมากกว่า เพราะคนขับจะชำนาญเส้นทาง และคุ้นเคยกับสภาพถนน
และ เส้นทางนี้ ก็สามารถเดินทางด้วยรถโดยสารได้ โดยนั่งสองแถว จากเชียงใหม่ สาย เชียงใหม่-จอมทอง 35 บาท มาลงที่คิวรถจอมทอง จากนั้น ต่อรถสองแถว สาย จอมทอง-แม่แจ่ม ประมาณ 70-80 บาท ลงที่ทางแยก ด่านจุดตรวจที่ 2 หรือ ทางแยกลงน้ำตกแม่ปาน แล้วโทรให้รถ 4WD มารับเข้าไป(นัดแนะเวลา และ จุดนัดพบไว้ล่วงหน้าก็ดีนะครับ เผื่อเวลาให้รถ 4WD ออกมารับ)
2. มาจากตัวอำเภอแม่แจ่ม เส้นทางนี้ค่อนข้างสะดวก สภาพถนนชัน เป็นถนนลาดยางอย่างดี จนเกือบถึงหมู่บ้านป่าบงเปียง ยกเว้นช่วงสุดท้ายแค่ไม่กี่ร้อยเมตร ที่สภาพทางทางค่อนข้างเละ ซึ่งถ้ามาจากตัวเมืองเชียงใหม่ เส้นทางนี้จะอ้อมมาก แต่สำหรับคนที่จะเที่ยวในตัวอำเภอแม่แจ่มอยู่แล้ว เส้นทางนี้จะน่าสนใจมากๆ เพราะ ระหว่างทางจะมีวิวสวยๆ ให้ชมตลอดทาง
การเดินทางด้วยรถโดยสาร ก็เหมือนกับเส้นทางแรก แต่ให้นั่งสุดสายไปลงที่อำเภอแม่แจ่มเลย จากนั้นจึงเช่ารถมอเตอร์ไซค์จากอำเภอแม่แจ่ม ขับขึ้นมาที่บ้านป่าบงเปียง หรือ หากขับขี่ไม่เป็น ที่อำเภอแม่แจ่มก็มี บริการมอเตอร์ไซค์พร้อมคนขับที่เป็นไกค์ในตัว พาเที่ยวป่าบงเปียง ในราคา 300 บาท
เส้นทางที่ 1 (เส้นสีเขียว) จะขึ้นทาง หน่วยพิทักษ์น้ำตกแม่ปาน เมื่อเลยหน่วยพิทักษ์ฯ ไปแล้ว เส้นทางจะค่อนข้างเละ(เส้นสีแดง) ซึ่งเป็นระยะทางประมาณเกือบ 2 กิโลเมตร
เส้นทางที่ 2 (เส้นสีฟ้า) จะเข้าป่าบงเปียงโดยวนผ่านตัวอำเภอแม่แจ่มก่อน ซึ่งจะเห็นว่าเป็นเส้นทางที่อ้อมพอสมควร เส้นทางจะเป็นถนนอย่างดี แต่มีความชันและคดโค้ง จนถึงช่วงสุดท้ายที่ทางค่อนข้างเละ(เส้นสีแดง) แต่ก็เป็นทางลำบากแค่ช่วงสั้นๆ และสั้นกว่าเส้นทางแรก
สำหรับการเดินทางในครั้งนี้ ขาไป ผมจะเลือกใช้ เส้นทางที่ 1 แต่จะใช้วิธีเช่ารถมอเตอร์ไซค์จากตัวเมืองเชียงใหม่ยิงยาวไปจนถึงบ้านป่าบงเปียงเลย และ ขากลับ จะเลือกกลับทาง เส้นทางที่ 2 ที่ถือว่าได้ลองขับเที่ยว ชมบรรยากาศ สำรวจเส้นทางนี้ไปในตัว เพราะได้ยินมาเหมือนกันว่าระหว่างทาง มีจุดชมวิวที่สวยมาก
ซึ่งการเดินทางด้วยการเช่ามอเตอร์ไซค์เที่ยวเองแบบนี้ก็ประหยัดและคุ้มค่ามากๆ เพราะสามารถ แวะได้ตลอดทาง ตามจุดท่องเที่ยวต่างๆ ระหว่างทาง ซึ่งจากตัวเมืองเชียงใหม่ สู่เส้นทางยอดดอยอินทนนท์ก็เป็นที่รู้กันดีว่ามีสถานที่ท่องเที่ยวให้แวะเที่ยวเยอะมากครับ
DAY 1
11 : 30 น. ออกเดินทาง!
เริ่มต้นออกเดินทางลุยเดี่ยว สู่ จังหวัดเชียงใหม่ จากสนามบินดอนเมือง ในเวลาเกือบเที่ยง ซึ่งก็ถือว่าดูเวลาผิดแปลกไปกว่าทุกทริป เพราะปกติจะเดินทางไฟล์ทเช้าๆ เพื่อจะมีเวลาในการเที่ยวเยอะขึ้น ดังนั้น ถ้าไป “บ้านป่าบงเปียง” ควรมาแต่ไฟล์ทเช้าๆ เลย เผื่อเวลาในการเดินทาง การต่อรถโดยสาร สภาพอากาศ และ สภาพทางช่วงท้ายๆ ..ที่อาจเป็นอุปสรรคทำให้เสียเวลา ซึ่งในครั้งนี้ผมออกเดินทางด้วยสายการบินแอร์เอเชีย ที่ราคาประหยัด ช่วย Save ค่าเดินทางไปเยอะ แถมสะดวก และรวดเร็วดี สามารถเข้าไปเปรียบเทียบราคาที่ดีที่สุด พร้อมจองตั๋วแอร์เอเชียได้ง่ายๆ ผ่าน เวปไซต์ Traveloka จองง่าย จ่ายชำระได้หลากหลายช่องทาง เลือกไฟล์ทตามที่ต้องการได้ที่ Link นี้เลยครับ https://www.traveloka.com/th-th/airasia แนะนำเลย สะดวกมาก!
สภาพอากาศในช่วงนี้ ที่ กทม. อากาศแจ่มใส ท้องฟ้าใส ไร้วี่แววของเมฆฝน ซึ่งเมื่อได้ลองเช็คกับ สภาพอากาศที่ปลายทางแล้ว ได้ข่าวมาว่าที่นั่นฝนตกบ่อยๆ มาเร็วไปเร็ว โดยเฉพาะในช่วงเขตของอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ซึ่งก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรมากมาย มาเที่ยวช่วงนี้ต้องเจอกับสภาพอากาศฝนตกชื้นๆ แบบนี้แหละ ถึงจะได้อารมณ์เนอะ!
13 : 05 น. สวัสดี..เชียงใหม่!
เดินทางมาชั่วโมงเศษๆ ก็มาถึง สนามบินเชียงใหม่ ซึ่งก่อนเดินทาง ผมได้ติดต่อ เช่ามอเตอร์ไซค์ กับ BikkyChiangmai เอาไว้ โดยในตอนแรกคิดว่าจะต้องนั่งรถแดง หรือ แท็กซี่เข้าไปที่ตัวเชียงใหม่ก่อน แล้วจึงทำเรื่องเช่ารถมอเตอร์ไซค์ แต่พอได้ติดต่อดูทำให้ทราบว่า.. มีบริการ ส่งรถ-คืนรถ ที่สนามบินด้วย(โดยคิดค่าบริการ ส่งรถ และคืนรถ ขาละ 50 บาทเท่านั้น) ซึ่งสำหรับผมคิดว่าสะดวก ประหยัดเงิน และประหยัดเวลามากๆ ไม่ต้องเสียเวลาเข้าเมืองก่อน ลงเครื่องแล้วก็มารับรถไปใช้ได้เลย ซึ่งถ้าลงเครื่องมาแล้ว ให้ออกไปทาง ทางออกที่ 1 ของสนามบินเชียงใหม่ เมื่อออกจากอาคารจะเห็นทางเดินยาวๆ ไปสู่ที่จอดรถตรงนั้นจะมีจุด รับรถ-คืนรถ ของ BikkyChiangmai อยู่ด้วย
รถมอเตอร์ไซค์ของ BikkyChiangmai มีให้เลือกมากมายหลายรุ่น ตั้งแต่ราคา 200 บาท จนไปถึงหลักพัน เลือกได้ตามความชอบ และสไตล์ของตัวเอง ซึ่งครั้งนี้.. ผมได้ติดต่อ เช่ามอเตอร์ไซค์ ล่วงหน้า โดยเลือก Honda Zoomer X เป็นพาหนะ และเพื่อนร่วมทางในทริปนี้ ซึ่งรถรุ่นนี้เช่าในราคา วันละ 300 บาท ถ้าลงทะเบียนเป็นสมาชิก ลดอีกวันละ 25 บาท ดังนั้น การเช่ารถมอเตอร์ไซค์เที่ยวในวันนี้ ผมจ่ายค่าเช่ามอเตอร์ไซค์ไป 275 บาท (ไม่มีมัดจำ และใช้บัตรประชาชนในการเช่าเท่านั้น)
การเช่ารถนั้น จะต้องมีวัน เวลา ระบุที่แน่นอน (ถ้าเปลี่ยนแปลงต้องแจ้งให้ทราบก่อนล่วงหน้า) และ เวลาที่ผมระบุ รับ-ส่งคืน รถนั้น ทั้งหมดผมจะใช้รถ 26 ชั่วโมง ซึ่งเกิน 1 วัน (24 ชั่วโมง) มา 2 ชั่วโมง แต่ทางร้านก็ใจดีคิดราคาแค่ 1 วันเท่านั้น และนี่คือ โฉมหน้าของเพื่อนร่วมทางของผมในวันนี้ ขนาดเหมาะมือดี!
เมื่อได้รถมาแล้ว.. ก่อนอื่นเลย ต้องเติมน้ำมันเสียก่อน เพราะ ตอนรับรถมามีน้ำมันเหลือแค่ขีดเดียวเอง แต่ปั๊มน้ำมันก็อยู่ไม่ไกล ออกจากสนามบิน เลี้ยวขวา ไปก็เจอปั๊มน้ำมัน(ปตท.)แล้ว เติมเต็มพิกัด เต็มถังพร้อมลุย!
จากเชียงใหม่ สู่ เส้นทางยอดดอยอินทนนท์
แผนการเดินทางในครั้งนี้ เมื่อเติมน้ำมันเสร็จ.. ก็ขับเลี้ยวขวา ที่ มุ่งหน้าสู่ อำเภอจอมทอง โดยใช้เส้นทาง หมายเลข 108 ระยะทางประมาณ 60 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงเศษๆ แต่การขับขี่ในช่วงเวลา บ่ายๆ แบบนี้ค่อนข้างที่จะอากาศร้อน แดดแรง จึงหยุดพักค่อนข้างบ่อย
เมื่อถึงอำเภอจอมทองก็เลี้ยวขวา เข้าสู่เส้นทาง หมายเลข 1009 มุ่งหน้าสู่ยอดดอยอินทนนท์ ไม่มีทางหลงแน่นอน เพราะมีป้ายบอกอยู่ตลอดทาง หลังจากเลี้ยวเข้าสู่เส้นทางนี้ไม่นาน ก็สัมผัสได้ถึงอากาศที่สดชื่น สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ และป่าเขาตลอดระยะทางที่ไต่ระดับความสูงไปเรื่อยๆ เส้นทางนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวให้แวะมากมาย แต่เนื่องจากเคยมาเยือนเส้นทางนี้บ่อยๆ บางจุดก็เลยข้ามๆ ไป
ผมมาแวะ..พัก เก็บภาพ ชมบรรยากาศที่ “บ้านแม่กลางหลวง” สักหน่อย ช่วงนี้นาทุกที่ก็เริ่มจะเขียวแน่นเต็มท้องนา และ นาขั้นบันไดบ้านแม่กลางหลวง นี่เอง.. ก็เป็นนาขั้นบันไดอีกจุดหนึ่งที่มีความสวยงาม และเดินทางมาได้ง่าย
ฝนเพิ่งจะหยุดตกไปไม่นาน ทำให้เห็นหมอกลอยบางๆ อยู่ตามยอดเขา เมื่อได้เห็นภาพความเขียว ของต้นไม้ และผืนนาแบบนี้เป็นภาพที่ดูสบายตา และสดชื่นจนบอกไม่ถูก
การเดินทางเป็นไปอย่างไม่รีบร้อน ตรงไหนน่าสนใจก็หยุดพัก ถือว่าได้พักทั้งคน ทั้งรถ พร้อมชมวิวสองข้างทาง ในบรรยากาศชื้นๆ แบบนี้ ไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก แวะถ่ายรูปกับป้าย “อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์” เป็นที่ระลึกซะหน่อย!
ละอองฝนปะทะกับใบหน้าตลอดการเดินทางในช่วงนี้ ในแต่ละโค้งที่ผ่านไป รถได้ไต่ระดับไปเรื่อยๆ ได้อย่างสบาย โดยระหว่างทางจะผ่านด่านจุดตรวจทั้งหมด 2 จุด ด่านจุดตรวจที่ 1 จะผ่านมาโดยไม่ต้องตรวจอะไร แต่เมื่อมาถึง ด่านจุดตรวจที่ 2 เจ้าหน้าที่จะกั้นรถ เพื่อให้ซื้อตั๋วค่าเข้าอุทยานเสียก่อน แต่ก็สามารถบอกได้..ว่าจะเดินทางไปเส้นทาง “แม่แจ่ม” ก็จะ ไม่เสียค่าเข้า ตรงจุดนี้ เพราะเมื่อเลยด่านมาไม่กี่สิบเมตรก็จะเจอทางแยกไปอำเภอแม่แจ่มแล้ว และก็ใช้เส้นทางนี้ต่อไปที่.. บ้านป่าบงเปียง
เลย ด่านจุดตรวจที่ 2 ไม่ไกล จะเจอทางแยกให้เลี้ยวซ้ายขึ้นไปตามเส้นทาง หมายเลข 1192 ซึ่งเส้นทางนี้จะไปสู่ อำเภอแม่แจ่ม เส้นทางช่วงนี้ สองข้างทางดูจะเป็นป่าทึบมากขึ้น ต้นไม้โดนละอองฝน ดูชื้นๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่ต่างกับสภาพถนน ที่จะดูชื้นๆ ลื่นๆ จึงต้องใช้ความระมัดระวังในการขับขี่เป็นพิเศษ
จากแยกตรง ด่านจุดตรวจที่ 2 มาอีกประมาณ 6-7 กิโลเมตร จะเจอทางแยกไป หน่วยพิทักษ์น้ำตกแม่ปาน ซึ่งป่าบงเปียงจะไปตามเส้นทางนั้น ดังนั้น เมื่อเจอแยกนี้ก็ให้ไปทางขวา เส้นทางเดียวกับที่ป้ายชี้บอกไป น้ำตกแม่ปาน และตรงแยกจุดนี้นี่เอง ที่เป็นจุดลงรถสองแถว ที่นั่งมาจากจอมทอง สาย จอมทอง-แม่แจ่ม ถ้ามารถโดยสารให้มาลงตรงนี้ แล้วโทรติดต่อที่พักให้ เอารถ 4WD ออกมารับได้
จากแยกเข้ามา.. ทางจะดูแคบลงถนัดตา เป็นถนนเล็กๆ ที่สภาพถือว่ายังดีอยู่ แต่ก็ควรใช้ความระมัดระวัง เพราะถนนค่อนข้างจะลื่น
บรรยากาศดูเงียบสงบ ไม่มีรถสวนมาเลยสักคัน สองข้างทางเต็มไปด้วยป่าสน ได้บรรยากาศไปอีกแบบ
ค่อยๆ มาเรื่อยๆ สักระยะหนึ่งจะเห็นสะพานข้ามลำธาร เลยจุดนี้ไป ก็จะเป็น หน่วยพิทักษ์น้ำตกแม่ปาน ซึ่งถ้าใครนำรถส่วนตัวมาเอง ก็สามารถมาจอดฝากไว้ที่นี่ได้ แล้วโทรติดต่อที่พักให้ เอารถ 4WD ออกมารับเข้าไป
ทางหลังจากนี้… จะเป็นถนนที่ชันและแคบ แถมลื่นอีกต่างหาก ต้องพยายามประคองรถเข้าไปดีๆ ความปลอดภัยยังไงก็ต้องมาก่อนเสมอ เนื่องจากทางลัดเลาะไปตามเขาแบบนี้ บางจุดข้างทางจึงเป็นเหมือนเหวดีๆ นี่เอง ซึ่งเมื่อมาถึงทางแยกตรงนี้ น่าจะเป็นแยกสุดท้าย ก่อนถึงบ้านป่าบงเปียงแล้ว และตรงจุดนี้ จะต้องมุ่งหน้าตรงไป เหมือนผ่านเนินนี่ไปแล้ว จะเป็นทางลาดลงครับ
พอผ่านเนินดังกล่าว จะเป็นถนนช่วงสุดท้ายที่ถือว่า โหดสุดๆ สภาพเส้นทางจะเป็นทางลูกรัง(ที่โดนฝนแล้ว..) เนื่องจากเมื่อเช้าฝนได้โปรยปรายลงมาอยู่พักหนึ่ง ทำให้ตอนนี้สภาพถนนทั้งเละ และลื่น จนต้องจอดพัก(ทำใจ) เป็นระยะๆ..
ในบางระยะ ดินแน่นๆ ทางจึงไม่เละมาก แต่ก็ยังลื่นอยู่ นั่งอยู่บนเบาะมอเตอร์ไซค์รู้สึกว่าท้ายจะสะบัดอยู่ตลอด และเบรคก็เหมือนจะเอาไม่อยู่เช่นกัน ต้องใช้วิธีเบรคแบบใช้เท้ายันบ้าง ในบางช่วงที่ต้องลงเนิน
ระหว่างทางมีรถคันแรกในเส้นทางลูกรังนี้สวนมาคันแรก ซึ่งน่าจะเป็นคนในพื้นที่หรือหมู่บ้านใกล้เคียง พอหลุดโค้งมาก็ล้มโชว์ให้ดูเลย เพราะดูแล้ว.. ทางมันลื่นจริงๆ ขนาดมาไม่เร็วมาก พอเห็นภาพแบบนี้ ก็รู้สึกว่าต้องระมัดระวังให้มากยิ่งขึ้น
มาถึงทางลงเนินอีกจุด จอดทำใจนิดหน่อย คือ กลัวจะเบรคไม่อยู่ 55 สังเกตได้ว่าจะมีรอยล้อรถอยู่ด้วย เป็นรถ 4WD ที่ไว้รับส่ง คนเข้าออกบ้านป่าบงเปียง ซึ่งขอบอกเลยครับ ว่า.. ค่ารถ 4WD ไป-กลับ 700 บาท/คัน นั่งได้ 5-6 คน ราคานี้คุ้มแล้ว เพราะทางลำบากจริงๆ
ตรงนี้ มีแยกไป น้ำตกผาสำราญ ด้วย แต่ จุดหมาย “บ้านป่าบงเปียง” ยังคงมุ่งหน้าต่อไป
เส้นทางโหดๆ ในช่วงตอนท้ายนี้ จะมีระยะทางแค่ 1-2 กิโลเมตรเท่านั้น แต่ก็เป็นระยะทางที่ผ่านไปช้าเสียเหลือเกิน กว่าจะผ่านไปได้แต่ละ สิบเมตร ร้อยเมตร ต้องพยายามประคองรถให้ดี ซึ่งนอกจากทางจะเละแล้ว บางจุดก็มีน้ำขังเป็นแอ่งน้ำใหญ่ขวางทั้งถนนเลย
ช่วงนี้ก็เลยได้หยุดพักบ่อยขึ้น ยังดี.. ที่ว่าเข้ามาถึงในช่วงที่ไม่เย็นมาก ยังพอมีเวลาก่อนที่แสงสว่างวันนี้จะหมดไป
ตลอดระยะทาง 1-2 กิโลเมตรในช่วงท้าย จะมีแอ่งน้ำอยู่หลายจุดเหมือนกัน ในบางช่วงชันและลื่น บางช่วงเป็นถนนเละๆ บางช่วงขอบถนน เป็นเหมือนเหว ดังนั้น จึงควรระมัดระวังในการขับขี่ด้วยนะครับ
มาถึงตรงนี้… ก็หมายความว่า… ได้เดินทางมาถึงบ้านป่างบงเปียงเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะครับ ถ้าไปฝั่งซ้ายจะเป็น “บ้านระเบียงนา” เป็นอีกหนึ่งที่พักที่วิวสวยและน่าสนใจเหมือนกัน แต่ว่า..ผมจะไปนอนที่ “มาฉิโพ” จึงต้องไปทางขวาครับ ไปอีกไม่กี่สิบเมตรก็ถึง มาฉิโพ แล้วครับ
17 : 00 น. ถึงแล้ว.. นาขั้นบันได บ้านป่าบงเปียง!
มันเป็นภาพ.. ที่เห็นแล้วรู้สึกหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลย เจอกันจนได้ นาขั้นบันได บ้านป่าบงเปียง ถนนเข้าหมู่บ้านนั้นจะเป็นเส้นทางบนเขาอยู่สูงกว่าผืนนา และผืนนาจะอยู่ลาดต่ำลงไป ดังนั้น เมื่อเข้ามาถึงหมู่บ้าน นี่จะเป็นภาพแรกที่ได้เห็น เป็นภาพที่สวยงาม และ ดูสดชื่นมากๆ คุ้มค่ากับการดั้นด้นมาจริงๆ ทุกอย่างมันดูเงียบสงบ ได้ยินแต่เสียงลมที่พัดมาเอื่อยๆ กับเสียงน้ำไหลจากต้นน้ำธรรมชาติที่ไหลลงสู่ท้องนา
ตอนนี้..ผมยังไม่ต้องการเข้าที่พัก แต่อยากเดินเล่นรอบๆ ผืนนาแห่งนี้สักหน่อย เนื่องจากต้องแข่งกับเวลาพอสมควร ซึ่งมาถึงที่นี่ก็เป็นเวลา 5 โมงเย็นเข้าไปแล้ว อีกไม่นานดวงอาทิตย์จะลับขอบฟ้า และที่นี่ก็ต้องเข้าสู่กับความมืดมิด
ผมจอดรถมอเตอร์ไซค์ และวางเป้ลงที่ขอบคันนามุมนึง พร้อมถือกล้องลงไปเดินเล่น ถ่ายรูปตามมุมต่างๆ ของ นาขั้นบันได บรรยากาศในช่วงเย็นดีมากๆ นักท่องเที่ยวก็มีให้เห็น และออกมาถ่ายรูปพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าในช่วงแสงเย็น แบบนี้เยอะเหมือนกัน ซึ่งบางส่วนก็เข้ามาเที่ยว เข้ามาถ่ายรูปในช่วงเย็นๆ เท่านั้น ไม่ได้มาพักค้างคืน พอพระอาทิตย์ตกดินก็เดินทางกลับกันออกไป
ในที่สุด.. ก็ได้มาเจอกับ พี่วิชัย เจ้าของที่พัก มาฉิโพ ซึ่งก็พอจะคุ้นหน้าเคยเห็นมาจากอินเตอร์เนตบ้างตอนที่หาข้อมูลเดินทางมาที่นี่ ก็ได้พูดคุยทักทายนิดหน่อย พี่วิชัยถามว่า “จะเข้าที่พัก ทานข้าว เลยมั้ย?” แต่ผม..ยังขอเดินเล่นอีกสักพักก่อน ก็เลยปฎิเสธไปก่อน ตอนนี้ขอเก็บบรรยากาศดีๆ ก่อนจะหมดแสงของวันนี้ครับ ช่วงนี้.. (กลางเดือนสิงหาคม) เป็นช่วงที่นาเริ่มจะเขียวแน่น เต็มท้องทุ่ง มองไปทางไหนก็เขียวสบายตา โดยคาดว่า..ต้นข้าวจะเขียวขจีเต็มท้องนาในช่วงกลางเดือนกันยายน
บ้านป่าบงเปียง แห่งนี้เป็นหมู่บ้านของ ชาวปกาเกอะญอ ซึ่งภายในหมู่บ้านจะมีที่พักเปิดให้นักท่องเที่ยวมาใช้บริการโดย มีทั้งหลังเล็ก นอนได้ 3-4 คน ไปจนถึงหลังใหญ่ นอนได้หลายคน ซึ่งถ้าจะมาพักก็ต้องมีการจองล่วงหน้ามาก่อน เพราะ ในวันหยุดที่พักมักจะเต็ม เพราะ ที่บ้านป่าบงเปียงแห่งนี้มีที่พักไม่กี่หลังเท่านั้น
บรรยากาศที่นี่จะเงียบสงบ เสียงนึงที่จะได้ยินตลอดก็คือ เสียงน้ำไหล โดยเป็นน้ำที่ไหลมาจากแหล่งน้ำธรรมชาติ ไหลเข้าสู่ท้องนา และ น้ำเหล่านี้ก็จะเป็นน้ำที่สำหรับไว้ใช้ด้วย
เมื่อลองเอามือไปสัมผัสกับน้ำดู เป็นน้ำที่เย็นมากๆ น้ำใสไหลเย็น เป็นแบบนี้นี่เอง นั่งฟังเสียงน้ำไหลแบบนี้ก็เพลินดีเหมือนกันครับ
ใน นาขั้นบันได สามารถเดินตามคันนาลงไปถ่ายรูป หรือ เดินเล่นก็ได้ แต่ก็ต้องระวังลื่นกันสักหน่อย
มีเพื่อนสี่ขาโผล่มาเดินเล่นเป็นเพื่อนเพิ่มอีกหนึ่งตัว ท่าทางคล่องแคล่วว่องไว กึ่งเดินกึ่งวิ่งนำหน้าไปหลายช่วงตัวทีเดียว
เดินลงมาเล่นที่ผืนนาด้านล่างเมื่องมองกลับเข้าไปจะเห็นที่พัก ที่กระจายตามมุมต่าง บางหลังเป็นหลังใหญ่มองดูแล้วสามารถพักได้หลายคนเลย
น้ำที่ไหลมาจากแหล่งต้นน้ำธรรมชาติไหลเข้าสู่นา ก่อนปล่อยไหลไล่ลงไปตามสเตปของนาขั้นบันได้ ..ทำให้ต้นข้าวได้รับน้ำกันอย่างทั่วถึง
บรรยากาศยามเย็นมองไปไกลๆ เห็นเมฆ หมอก หยอกล้ออยู่กับทิวเขาเบื้องหน้า
กระท่อมกลางนา ที่เป็นเหมือนศาลานั่งพักผ่อน เป็นอีกจุดหนึ่งที่ได้แวะไปนั่งพักผ่อน เหมาะกับช่วงยามเย็นเช่นนี้
น้ำไหลเข้าสู่นาขั้นบันไดไล่ระดับมาทีละชั้น ..เห็นได้ถึงความอุดมสมบูรณ์
ท้องนาสีเขียวขจี มองแล้วสบายตา บรรยากาศแบบนี้แหละที่ควรมาสัมผัสด้วยตัวเองสักครั้ง
เม็ดฝนที่ยังคงค้างอยู่ตามยอดต้นข้าว มองดูแล้วรู้สึกชุ่มชื้น สดชื่นดี
ทางเดินตามคันนาค่อนข้างที่จะลื่น ต้องค่อยๆ เดิน ซึ่งจะว่าไปแล้ว.. การเดินเล่นตามคันนา ที่เป็นทางโค้งๆ และมีหลายระดับแบบนี้ก็รู้สึกเพลินเหมือนกันนะ
ช่วงเย็น ณ เวลานี้ เหมือนจะมีหมอกลงจัด ที่ทิวเขาไกลๆ สีขาวของหมอก ตัดกับสีเขียวของต้นข้าว เป็นภาพที่สวยงามดีครับ
มุมถ่ายรูป..ตรงนี้ หลายคนคงจะพอเห็นผ่านตากันมาแล้วบ้าง ใครมาต้องไม่พลาดนะ!
ภาพบรรยากาศในมุมต่างๆ ของ นาขั้นบันได บ้านป่าบงเปียง
ภาพ นาขั้นบันได บ้านป่าบงเปียง ในมุมสูง เห็นหมอกบางๆ กับทิวเขาเป็นฉากหลัง
ยามเย็นแบบนี้นั่งดูพระอาทิตย์ตก จากกระท่อมที่พัก คงได้บรรยากาศสุดบรรยายครับ!
18 : 15 น. เข้าสู่ที่พักกลางนาขั้นบันได!
เมื่ออาทิตย์ลับขอบฟ้าไปหลบอยู่หลังภูเขาไปแล้ว.. ก็ได้เวลาอันพอสมควรที่ผมจะต้องเข้าที่พัก เตรียมที่หลับที่นอนพักผ่อนสำหรับค่ำคืนนี้ ผมเดินหาพี่วิชัยอยู่สักพักหนึ่งเพื่อที่จะแจ้งว่า.. ผมพร้อมที่จะเข้าที่พักแล้ว เมื่อได้เจอพี่วิชัย.. พี่เขาก็ได้ชี้มือออกไปทางนาขั้นบันได แล้วก็บอกว่า “อยู่หลังโน้น..ปิ่นโตอาหารเย็นก็วางอยู่หน้าที่พักนั่นแหละ” ใช่แล้วละครับ.. คืนนี้ได้นอนกระท่อมที่พักหลังที่อยู่กลางนา ซึ่งปกติ..คิดว่าจะได้นอนหลังที่อยู่ริมๆ ด้านบน วิวมุมสูงแบบนี้ แต่ได้นอนหลังกลางนาโน้นก็ดีเหมือนกัน เพราะตอนเดินเล่น ถ่ายรูปตามมุมต่างๆ ของนาขั้นบันได ก็เห็นแล้วล่ะว่าหลังนี้..บรรยากาศดี แต่ตอนนั้นไม่คิดว่าจะได้นอนหลังนี้ (ซึ่งตามภาพจะเป็นหลังฝั่งขวาของภาพครับ)
อีกมุมหนึ่งของกระท่อมที่พักจะเห็นว่า.. หันหน้าออกไป เป็นวิวนาขั้นบันได และมีภูเขาเป็นฉากหลัง โดยเฉพาะในยามเย็นเช่นนี้ บรรยากาศดีมาก สำหรับค่าที่พัก ก็จะคิดเป็นคน คนละ 500 บาท (ที่พัก + อาหาร 2 มื้อ เย็น-เช้า)
ผมเอ่ยถามเกี่ยวกับที่จอดรถมอเตอร์ไซค์กับพี่วิชัย เพราะผมจะได้ขยับรถให้จอดถูกที่ถูกทางไม่เกะกะชาวบ้านเขาจนเกินไป พี่วิชัยได้บอกว่าให้ “จอดริมถนนตรงนี้เลยก็ได้” ด้วยความเป็นห่วงรถ.. คือ กลัวจะหาย เพราะรถก็เช่าเขามา ถ้าหายไปนี่คงยุ่งน่าดู แต่พี่วิชัยยืนยันแล้วว่าไม่หาย ไม่ต้องห่วง ผมก็เบาใจไป จัดการล็อครถ แบกเป้เดินลงทุ่ง ไปตามคันนา มุ่งตรงไปที่กระท่อมที่พักสำหรับคืนนี้ ก็คือหลังนี้นี่เอง!
มุมด้านหน้าของที่พัก เป็นเหมือนกระท่อมที่พักแบบง่ายๆ มีระเบียงเล็กๆ ข้างหน้าไว้นั่งเล่น และ จะเห็นว่ามี ทางน้ำไหลขนาดเล็กแต่ไหลแรงพอสมควร อยู่ข้างกระท่อมด้วย ได้ยินเสียงน้ำไหลชัดเจนรู้สึกเพลินดีเหมือนกัน
ลองเดินขึ้นไปดูข้างบนที่พักกันบ้าง ซึ่งถูกยกระดับให้สูงขึ้นมาหน่อย ด้านข้างมีบันไดสำหรับเดินขึ้นไป
เมื่อมานั่งเล่นที่ระเบียงด้านหน้ากระท่อมที่พักแล้ว …มองออกไปจะพบกับวิวประมาณนี้ครับ
เปิดประตูเข้ามาดูสภาพข้างใน จะมีห้องเดียว สามารถนอนได้ประมาณ 3-4 คน มีที่นอน ฟูก หมอน มุ้ง เตรียมพร้อมไว้ให้ ผนังเป็นไม้ไผ่ที่มีช่องลมเล็กเหมือนที่ระบายอากาศไปในตัว นานๆ ทีได้มีโอกาสมานอนแบบนี้มันก็ได้อารมณ์ดีนะครับ
อีกมุมหนึ่ง.. มีข้าวของเครื่องใช้นิดๆหน่อยๆ เอาไว้ให้ ที่สำคัญก็คงจะเป็น เทียนไข เพราะที่นี่ไม่มีไฟฟ้าใช้ มีน้ำเปล่า แก้วน้ำ ทิชชู่ และ ยากันยุง.. นี่ก็สำคัญเหมือนกัน เพราะช่วงเย็นๆ ยุงเยอะ ได้จุดใช้แน่นอน
มาดูในส่วนห้องน้ำ จะตั้งอยู่ข้างๆ กับกระท่อมที่พักเลย ไม่ต้องเดินไกล เป็นห้องน้ำของที่พักหลังใครหลังมัน ค่อนข้างที่จะเกินคาดเหมือนกัน ดูสบายกว่าที่คิด เป็นแบบชักโครก มีสายชำระ มีฝักบัวที่น้ำไหลเย็นเหมือนกับน้ำที่ไหลข้างที่พัก เพราะต่อน้ำเข้ามาใช้จากแหล่งน้ำเดียวกัน อาบน้ำตอนเย็นๆ แบบนี้ หนาวใช้ได้เลย เพราะน้ำเย็นมาก
ที่หน้ากระท่อมที่พัก มี ปิ่นโต วางอยู่ ตามที่พี่วิชัยได้บอกเอาไว้ ..ตอนนี้ก็ได้เวลาอาหารเย็นพอดี
จัดการเปิดปิ่นโตดู ก็ลุ้นดีเหมือนกันว่าแต่ละชั้น จะมีกับข้าวอะไรให้ได้ลิ้มลองกันบ้าง ซึ่งต้องขอบอกก่อนว่า อาหารในแต่ละมื้อ ก็จะเป็นอาหารแบบง่ายๆ สไตล์ชาวบ้านๆ แต่เข้ากับบรรยากาศริมท้องทุ่งแบบนี้ยิ่งนัก
สิ้นแสงอาทิตย์ของวันแล้ว.. ผมจึงนำเทียนไขที่เขาเตรียมมาให้ จุดเพื่อให้แสงสว่างในการทานมื้อเย็นมื้อนี้ สำหรับอาหารมื้อนี้ก็เป็นเมนูง่ายๆ มีอยู่ 3 อย่าง คือ ผัดผักน้ำมันหอย ต้มจืด และ ไข่เจียว ดูเหมือนว่าเป็นเมนูธรรมดาๆ แต่ก็เป็นมื้อที่อร่อยใช้ได้เลยแหละครับ!
20 : 00 น. นอนเปลี่ยวในกระท่อมกลางนา!
ค่ำคืน.. กลางทุ่งนาและป่าเขาเช่นนี้ มันช่างคืบคลานมาไวนัก บรรยากาศรอบข้างเต็มไปด้วยความมืดมิด ดูภายนอกค่อนข้างสงบ ได้ยินแต่เสียงร้องของธรรมชาติ กบ เขียด ที่ส่งเสียงร้องระงมมาจากผืนนา และเสียงจิ้งหรีดเรไรตามต้นไม้ของเขารอบด้าน ความมืดมิด ในช่วงเวลาไม่มีไฟฟ้าใช้เช่นนี้อาจจะทำอะไรลำบากไปสักหน่อย ไฟฉายก็สำคัญ ที่ควรจะติดกระเป๋าเอามาไว้ใช้ด้วยก็ดี แต่ในที่พักก็มีไฟใส่ถ่านไฟฉาย รูปร่างคล้ายตะเกียงเอาไว้ให้ใช้ด้วยนะครับ เผื่อเข้าห้องน้ำห้องท่ายามดึกดื่น
กลางคืนเช่นนี้.. ทำอะไรไม่ได้ นอกจากนอนเล่นอยู่ภายในกระท่อมที่พัก จะเล่นโทรศัพท์มือถือก็ต้องเล่นแค่พอประมาณ เพราะต้องเซฟแบตฯ เอาไว้ด้วย ก็คิดว่าดีเหมือนกันในยามไม่มีไฟฟ้าใช้แบบนี้ ได้นอนอยู่นิ่งๆ ฟังเสียงน้ำไหล ฟังเสียงธรรมชาติรอบตัว ห่างจากเทคโนโลยีต่างๆ สักพัก พอเบื่อๆ ก็หยิบไฟฉายเดินออกจากกระท่อม มาแหงนหน้าดูดาวบ้าง ซึ่งในความมืดมิดแบบนี้ สามารถเห็นดาวบนฟ้าได้อย่างชัดเจน
ด้วยความเคยชิน.. กับการนอนดึกในทุกๆ คืน ทำให้การข่มตาให้หลับไวๆ ตั้งแต่หัวค่ำ นั้นเป็นไปได้ยาก ก็เลยทำได้แค่นอนเล่นกลิ้งไปกลิ้งมาในกระท่อม ตอนแรกกะว่าจะลุกไปกางมุ้งนอนเพราะเกรงว่าจะโดนยุงกวนตอนดึกๆ แต่มุ้งก็ไม่ความจำเป็นแล้ว เพราะตอนดึกยุงไม่ค่อยมีซะงั้น มีแต่ช่วงตอนหัวค่ำเท่านั้น อากาศก็ดูเหมือนว่ายิ่งดึกก็ยิ่งเย็น เสื้อกันหนาว และกางเกงขายาว ถูกนำออกมาสวมใส่ก่อนเข้านอน
เวลาในราตรีค่อยๆ ผ่านไปช้าๆ นอนหลับตาฟังเสียงธรรมชาติรอบๆ กระท่อมที่พัก เสียงน้ำไหลข้างกระท่อม เหมือนจะเป็นเสียงที่ชัดเจนที่สุดในขณะนี้ ตามมาด้วยเสียง กบ เขียด ที่ร้องระงม จากท้องนารอบตัว เหมือนเป็นเสียง Surround รอบทิศทาง ได้บรรยากาศสุดๆ… และ ก็เป็นเสียงที่กล่อมให้หลับใหลไปโดยไม่รู้ตัว…
DAY 2
06 : 00 น. สวัสดียามเช้า.. บ้านป่าบงเปียง!
รู้สึกตัวตื่นมาอีกครั้ง ก็เช้าซะแล้ว.. เมื่อคืนคงหลับสบายจริงๆ ไม่มีตื่นมากลางดึกเลย ผมลุกขึ้นนั่งแล้วมองลอดผ่านช่องเล็กๆ ของผนังกระท่อม เพื่อเช็คสภาพอากาศภายนอก เพราะยังขี้เกียจลุกขึ้นไปเปิดประตูดู เมื่อพบว่า..ข้างนอกอากาศดีและพระอาทิตย์จะขึ้นแล้ว ก็เลยเปิดประตูรับอากาศดีๆ ด้านนอก และนอนเล่นชมบรรยากาศยามเช้าสักพัก
ไม่นาน.. ก็มี คนหิ้วปิ่นโตมาให้ถึงหน้ากระท่อมที่พัก เป็นปิ่นโตอาหารสำหรับมื้อเช้านี้
แต่.. เพิ่งตื่นนอนมาใหม่ๆ ยังไม่หิวเท่าไหร่ ขอนั่งเล่น นอนเล่น ชมท้องนาสีเขียว สบายตา ข้างหน้าก่อนดีกว่า เป็นเช้าที่อากาศดีมากๆ ครับ
เช้านี้นอกจาก ปิ่นโตอาหารเช้า แล้ว ก็ยังมี กระติกน้ำร้อน และกาแฟ ตามเอามาให้ด้วยนะครับ บรรยากาศแบบนี้ขอนั่งจิบกาแฟ ร้อนๆ สักหน่อย
เป็นเช้าที่สงบเงียบ และบรรยากาศดี ..นั่งจิบกาแฟร้อนๆ หน้ากระท่อมที่พัก
บรรยากาศด้านหน้ากระท่อมที่พัก ..เริ่มมีสายหมอกเคลื่อนลงมาอยู่ด้านหน้า
เป็นช่วงเวลาที่ทุกอย่างเคลื่อนที่ไปอย่างช้าๆ อารมณ์สบายๆ เหมาะกับการพักผ่อน
สายหมอกยามเช้า เคลื่อนกาย อยู่เหนือผืนนาขั้นบันได การได้เอาตัวเองมาอยู่ในบรรยากาศแบบนี้ .. บอกได้เลยว่า วันเดียวก็คงไม่พอ!
08 : 00 น. ทานมื้อเช้ากับสายหมอก
ช่วงเช้า ออกไปเดินเล่นสูดอากาศดีๆ กลางทุ่งนาสักพัก ก็เริ่มเข้าสู่ โหมดหิว อีกครั้ง เดินกลับมากระท่อมที่พักเพื่อจัดการกับอาหารมื้อเช้า โดยเช้านี้จะนั่งทานมื้อเช้าที่ระเบียงตรงนี้เช่นเคย
สายหมอกก็ยังคงก่อตัวกันหนาอยู่ ตรงเบื้องหน้า คงเพิ่มรสชาติในอาหารของเช้าวันนี้ไม่น้อยเลยนะ
สำหรับมื้อเช้าวันนี้ ก็เป็นอาหารเมนูง่ายๆ 3 อย่างเช่นเคย ขณะเปิดดูก็ลุ้นไป ..ว่าจะมีกับข้าวอะไรบ้าง? ซึ่ง เช้านี้ ก็มี ไข่พะโล้ หมูยอทอด และ แคปหมู
เป็นมื้อเช้าที่ผมทานช้ามาก.. ไม่เหมือนกับการทานมื้อเช้าในชั่วโมงเร่งด่วนอย่างเช่นทุกๆ วัน ทานไป นั่งชมบรรยากาศท้องทุ่งไป ช้าๆ ไม่เร่งรีบ ..ความรู้สึกแบบนี้ที่ห่างหายไปนานเลย
10 : 00 น. อำลา..ป่าบงเปียง!
เนื่องจากว่ามีโปรแกรมจะแวะเที่ยวต่อตามรายทางในช่วงขากลับ ทำให้ต้องรีบเช็คเอาท์ก่อนเวลาที่กำหนด ผมจัดการอาบน้ำอาบท่า กับอุณหภูมิของน้ำที่เย็นจับใจ แต่ก็ทำให้สดชื่นดี! ใช้เวลาเก็บข้าวของไม่นานก็เตรียมกลับ เดินออกมาจากกระท่อมที่พัก หันกลับไปเก็บภาพที่ระลึกสักหน่อย ก่อนจะเดินขึ้นไปเอารถมอเตอร์ไซค์ที่จอดไว้ มีโอกาสคงได้กลับมานอนที่นี่อีกนะ!
และ ก็จัดการชำระค่าที่พัก (ที่พัก+อาหาร 2 มื้อ) ราคา 500 บาท คิดต่อหัว ผมเดินทางมาพักเพียงคนเดียวก็คิด 500 บาท เท่านั้น ซึ่งก็ถือว่า.. คุ้มค่านะครับกับการมาพักผ่อน และประสบการณ์ที่ได้รับ
เดินขึ้นมาที่ริมถนนทางเข้านาขั้นบันได รถมอเตอร์ไซค์ของผมก็ยังคงจอดอยู่ที่เดิม มองเห็นแต่ไกล แผนที่วางไว้ในครั้งแรกผมกะว่าจะกลับทางเดิม เพราะถ้าอ้อมเข้าแม่แจ่มก่อนมันจะไกลมาก แต่เนื่องจากขามาเห็นสภาพทางที่บุกบั่นมาแล้ว ก็ต้องนำมาคิดอีกครั้ง ประกอบกับ ปริมาณน้ำมันของรถมอเตอร์ไซค์ที่มันเหลืออยู่ไม่มาก จึงต้องมาลองคิดดูใหม่.. และลองสอบถามชาวบ้านแถวนั้น ทำให้รู้ว่า มีน้ำมันขายที่ใกล้ที่สุด อยู่ห่างจากบ้านป่าบงเปียงนี้ประมาณ 2-3 กิโลเมตร แต่ไปเส้นทางที่ลงไปอำเภอแม่แจ่ม ซึ่งก็เป็นอันตัดสินใจโดยง่าย … ตอนนี้เชื้อเพลิงสำคัญที่สุด ..ไม่อยากน้ำมันหมดกลางทางเดี๋ยวจะลำบาก
ดังนั้น ขากลับผมจะเดินทางไปอีกทางโดยจะไปเส้นทางสู่อำเภอแม่แจ่ม หันหัวรถไปอีกทาง พร้อมเก็บภาพนาขั้นบันได ก่อนกลับอีกสักภาพ!
ระยะทางที่ออกจากป่าบงเปียง.. ในช่วงแรกๆ ก็ยังคงเละเทะเหมือนเดิม ทั้งชันและก็ลื่น บางช่วงก็มีน้ำขัง แต่ก็เป็นระยะทางช่วงสั้นๆ เท่านั้น ถ้าเทียบกับตอนขามา ซึ่งช่วงที่เละๆ เท่าที่ลองกะระยะคร่าวๆ น่าจะไม่ถึง 1 กิโลเมตร พอพ้นทางลูกรังเล็กๆ มาแล้วคราวนี้ก็เป็นถนนอย่างดีเลย ภาพนี้เป็นรอยต่อกับทางลูกรังที่มาจากบ้านป่าบงเปียงครับ
สภาพถนนดีมากครับ อีกไม่นานคงเชื่อมต่อไปถึงหมู่บ้านป่าบงเปียง ..อนาคตการสัญจรก็คงจะง่ายขึ้น
ช่วงนี้ก็เลย.. เป็นช่วงแว๊นซ์มอเตอร์ไซค์ กินลม ชมวิวไป เรื่อยๆ ครับ ไปตามถนนที่ลัดเลาะตามเชิงเขา เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่ถือว่าสวยงามมาก สองข้างทางวิวทิวทัศน์นี่สุดยอดเลย จึงทำให้ต้องจอดรถอยู่บ่อยๆ ไปได้ไม่ไกลอดใจไม่ไหวต้องหยุดจอดชมบรรยากาศ นี่เป็นภาพ นาขั้นบันได ของบ้านป่าบงเปียงในอีกหนึ่งมุมครับ
11 : 00 น. แวะชมนาขั้นบันไดบ้านตีนผา
ห่างจากบ้านป่าบงเปียงไม่ไกล ประมาณ 1-2 กิโลเมตร ก็จะถึง จุดชมวิวนาขั้นบันไดบ้านตีนผา ถนนเส้นนี้ก็อยู่ในระดับสูงดีเหมือนกัน จอดรถแล้วก็ชมวิว ถ่ายรูปได้เลย ..ไม่ต้องเดินไปไหนไกล
ความเขียว ของต้นไม้ ทำให้การเดินทางรู้สึกสดชื่นตลอดเส้นทาง ..มองทีไรก็รู้สึกสบายตา
นาขั้นบันไดเบื้องล่าง ไล่ระดับ ตามเชิงเขา ..ซึ่งด้านซ้ายจะเห็นบ้านเรือนของชาวบ้านด้วย
ต้นข้าวเขียวขจี ซึ่งอีกไม่นานก็จะโตขึ้นแน่นขนัดเต็มท้องนา
นาขั้นบันไดบ้านตีนผา ถือเป็นอีกจุดที่น่าแวะมากๆ เมื่อมีโอกาสมาที่บ้านป่าบงเปียง เพราะอยู่ไม่ไกลจากบ้านป่าบงเปียง และถนนหนทางถือว่าดีเลย ห้ามพลาดครับ!
เลยจากหมู่บ้านตีนผาไม่ไกล ก็มาถึง บ้านป่าตึง ซึ่งจะมาแวะเติมน้ำมันที่นี่แก้ขัดไปก่อน ก่อนที่จะเข้าไปสู่ ตัวอำเภอแม่แจ่ม และอ้อมวกกลับไปที่ ด่านจุดตรวจที่ 2 อีกครั้ง ซึ่งระหว่างทางก็จะพบกับนาขั้นบันไดให้แวะพัก หรือ ถ่ายรูปตลอดทาง
ซึ่งหลังจากได้ลองทั้งสองเส้นทางสู่บ้านป่าบงเปียงแล้ว ถ้ามาจากตัวเมืองเชียงใหม่ หากใช้เส้นทางผ่านตัวอำเภอแม่แจ่ม เหมือนตอนขากลับอย่างเช่นตอนนี้ พบว่าค่อนข้างที่จะใช้เวลาในการอ้อมมาก ถนนหนทางดีแต่ก็มีความชันและโค้งเยอะ ถ้าไม่ได้ตั้งใจเที่ยวในตัวอำเภอแม่แจ่มอยู่แล้ว เส้นทางนี้ค่อนข้างจะเสียเวลาพอสมควร ตาม ความเห็นส่วนตัว นะครับ
ใช้เวลาในการอ้อมวนไปทางอำเภอแม่แจ่ม อยู่พักใหญ่ๆ ก็กลับมาที่ จุดตรวจที่ 2 (ดอยอินทนนท์)เช่นเดิม ยิงยาวมาไกลก็เลยขอพักคน พักรถ และหาน้ำมาราดคราบโคลนที่กระเด็นเปรอะตามรถมอเตอร์ไซค์ตั้งแต่เมื่อวานสักหน่อยก่อนที่จะนำกลับไปคืน จากนั้นก็บิดยาวๆ ผ่าน อำเภอจอมทอง มุ่งหน้ากลับเข้าสู่ตัวเมืองเชียงใหม่ครับ
15 : 00 น. สนามบินเชียงใหม่.. เตรียมเดินทางกลับ!
เวลาบ่ายสาม คือ เวลานัดหมายในการส่งคืนรถมอเตอร์ไซค์ที่เช่ามา ก็ถือว่าคำนวณเวลาได้ดี เพราะนำรถมาส่งคืนได้ตรงเวลาเป๊ะ! และก็คำนวณการใช้น้ำมันได้แบบพอดิบพอดี มีน้ำมันค้างอยู่ในถังขีดเดียวเหมือนตอนที่รับรถมาเมื่อวาน ก็เลยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ เพิ่ม ที่สนามบินเชียงใหม่ก็มีคนมารอรับรถคืนตรงที่เดิม ตอนคืนรถก็ไม่มีอะไรมาก เช็คสภาพรถ เช็คน้ำมันนิดหน่อย ก็คืนบัตรประชาชนมาให้ จากนั้นก็เดินเข้าอาคารสนามบิน เพื่อเช็คอินและเตรียมเดินทางกลับ!
สรุปค่าใช้จ่าย (จากตัวเมืองเชียงใหม่)
ค่าเช่ารถมอเตอร์ไซค์ วันละ 275 บาท (ค่า รับ-คืน รถที่สนามบิน 100 บาท) = 375 บาท
ค่าน้ำมันรถ = 140 บาท
ค่าที่พักมาฉิโพ บ้านป่าบงเปียง = 500 บาท(รวมอาหาร 2 มื้อ)
การเดินทางมาเที่ยว นาขั้นบันได บ้านป่าบงเปียง ในครั้งนี้ ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์การเดินทางคนเดียวที่น่าจดจำครั้งหนึ่งเลย แม้ระยะทางช่วงท้ายๆ จะดูสมบุกสมบันไปหน่อย แต่ก็สนุกมาก.. ได้มาพักผ่อนชมบรรยากาศสวยๆ ของนาขั้นบันได ได้นอนกระท่อมกลางนาอยู่กับเสียงธรรมชาติ ได้รสชาติของชีวิตไปอีกแบบ อยากแนะนำให้กับคนที่สนใจ อยากให้ลองมาสัมผัสดูสักครั้ง ซึ่งสำหรับตัวผมเอง “บ้านป่าบงเปียง” ได้เจอกันอีกแน่ครับ!
การท่องเที่ยวเชิงไฉไล | CHAILAIBACKPACKER
Fanpage : https://www.facebook.com/chailaibackpacker
Instagram : CHAILAIBACKPACKER
Twitter : @chailaibackpack / goo.gl/VIBXC9