#ให้มันเป็นสีชมพู : ชัยปุระ(Jaipur) ..เมืองนี้สีชมพู!
ย้อนกลับมาที่.. Jaipur อีกครั้ง!
การเดินทางในครั้งนี้ แบ่งออกเป็น 4 ตอน คือ
- 3 เมือง 3 สี แห่ง ราชาสถาน อินเดีย(เตรียมตัวเดินทาง)
- Jaisalmer : จัยซัลแมร์ Golden City (นครสีทอง)
- Jodhpur : จ๊อดปูร์ Blue City (นครสีฟ้า)
- Jaipur : ชัยปุระ Pink City (นครสีชมพู)
จาก สถานีรถไฟ Jaipur เรานั่งสามล้อ Rickshaw ให้ไปส่งยังที่พักที่ได้จองล่วงหน้าเอาไว้ ชื่อ Lostouse : Backpackers Hostel เป็นที่พักที่ดูน่าพักดีเหมือนกัน ซึ่งที่จริงส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวที่มาพักที่นี่.. จะมาพักแบบพักรวม เพราะราคาประหยัด แค่ 75 บาทไทย เท่านั้นเอง!! แต่เผอิญเรามาถึงที่นี่ดึกเกินไป เข้ามาถึงที่พักก็ปาไปตีหนึ่งแล้ว เวลาจะออกไปอาบน้ำ หรือจัดกระเป๋า ก็กลัวว่าจะรบกวนผู้เข้าพักคนอื่นๆ ก็เลยจองแบบ ห้องส่วนตัว มา ราคา 600 บาท/คืน ตกคนละ 300 บาท ก็ถือว่า..โอเคดีครับ เปิดแอร์นอนเย็นสบาย…
ห้องน้ำส่วนตัว กว้างมาก
มีครัวเอาไว้ทำอาหารกินเองด้วย
มุมนั่งเล่น
Rooftop ด้านบนก็เป็นที่ไว้นั่งเล่น ทานอาหาร หรือ จัดปาร์ตี้ต่างๆ
วันนี้ เป็นวันที่เดินทางค่อนข้างเหนื่อย และ สมบุกสมบัน ตะลอนมาตลอดทั้งวัน ก็ขอไปอาบน้ำ รีบเข้านอนกันดีกว่า..
DAY #4 JAIPUR, INDIA.
เช้าวันใหม่.. ใน Jaipur!!
มีเวลาเที่ยวใน Jaipur อีก 1 วันเต็มๆ เลยตื่นมาแต่เช้าหน่อย บรรยากาศในเมืองก็ยังดูสงบดีอยู่ รถรายังไม่เยอะมาก
เราได้รับการแนะนำจากทางที่พักว่า เช้าวันนี้.. มีงานสำคัญ ที่จัดขึ้นในวันนี้พอดี โชคดีมากๆ เป็นงาน PHOOLON KI HOLI(Holi with Flowers) ไม่ต้องคิดอะไรมาก ขอไปชมงานกับเขาสักหน่อย เรียกรถสามล้อ Rickshaw ให้ไปส่งถึงที่เลย..
รถสามล้อมาจอดส่งเราที่ วงเวียนที่อยู่ใกล้กับ พระราชวังสายลม(Hawa Mahal) ซึ่งเราต้องเดินต่อไปยังพื้นที่จัดงานที่อยู่ไม่ไกล
งาน PHOOLON KI HOLI(Holi with Flowers) มีการละเล่น ร้องรำทำเพลง พร้อมกับโปรยดอกไม้ น่าสนใจมากๆ ดูสนุก และตื่นตาตื่นใจดี
พองานจบเขามีเลี้ยงอาหารด้วย มื้อเช้านี้ก็เลยสบาย 55+
สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ ใน ชัยปุระ(Jaipur) บางจุดจะอยู่ใกล้ๆ กัน อย่างเช่น พระราชวังซิตี้พาเลซ (City Palace), หอดูดาวจันตาร์มันตาร์ (Jantar Mantar) และ พระราชวังสายลม(Hawa Mahal) ซึ่งสามารถเดินถึงกันได้อย่างสบาย เราจึงเลือกเที่ยบริเวณโซนนี้ให้ครบเสียก่อน โดยเริ่มจาก พระราชวังซิตี้พาเลซ (City Palace) ค่าเข้าชมคนละ 500 รูปี
ภายในพระราชวังมีความสวยงามมาก เราจะได้เห็นสถาปัตยกรรมที่มีการผสมผสนระหว่างแบบราชปุตกับโมกุล และงานจิตรกรรมฝาผนังที่งดงามมาก
จุดไฮไลท์ ห้ามพลาด ลานนกยูง ที่มีซุ้มประตูสวยๆ อยู่ 4 บาน แต่ละบานจะแทนฤดู 4 ฤดู ได้แก่ ฤดูฝน, ฤดูร้อน, ฤดูหนาว และ ฤดูใบไม้ผลิ มาทั้งทีก็แวะมาถ่ายรูปให้ครบทุกประตูกันนะครับ
เดินข้ามฝั่งถนนเล็กๆ ก็จะเป็น หอดูดาวจันตาร์มันตาร์ (Jantar Mantar) สถานที่ที่ได้รับการประกาศเป็นมรดกโลกในปี 2010 ซึ่งภายในมีเครื่องมือโบราณที่เกี่ยวกับทางดาราศาสตร์ อย่างเช่น นาฬิกาแดดขนาดใหญ่ ที่ใช้วัดเวลาได้อย่างแม่นยำมาก ค่าเข้าชมคนละ 200 รูปี
นาฬิกาแดดขนาดใหญ่ สูง 28 เมตร สามารถใช้ดูเวลาได้อย่างแม่นยำ ซึ่งในอดีตเครื่องมือโบราณเหล่านี้ จะเอาไว้ใช้เพื่อ คำนวณฤกษ์เวลาในการออกรบ
นอกจากนี้.. ก็ยังมีนาฬิกาแดดรูปร่างต่างๆ ให้เดินชมอย่างมากมาย ใครชอบเรื่องราวเกี่ยวกับดาราศาสตร์ ก็น่าจะถูกใจที่นี่อย่างแน่นอน
เดินเท้าต่อไปยังอีกหนึ่งสถานที่ พระราชวังสายลม(Hawa Mahal) ซึ่งวันแรกที่มาถึง ชัยปุระ(Jaipur) ก็ได้แวะมาที่นี่แล้ว แต่..ก็เดินเล่นมาชมกันอีกรอบ(ที่จริงต้องออกมารอรถเมล์แถวนี้อยู่แล้ว 55+)
สำหรับ พระราชวังสายลม นี้ ก็ถือว่าเป็นแลนด์มาร์กของเมืองชัยปุระ เลยครับ ภาพของอาคาร 5 ชั้น สร้างด้วยหินทรายแดง สถาปัตยกรรมสไตล์เปอร์เซียกับโมกุล มีช่องหน้าต่าง 152 ช่อง เอาไว้สำหรับให้นางสนมในวังใช้ส่องชีวิตของผู้คนภายนอก
สามารถขึ้นไปชมวิวมุมสูงที่ ร้านอาหาร ที่อยู่ตรงข้ามกับ Hawa Mahal ได้ครับ มีอยู่ 2 ร้าน คือ Wind View Cafe และ Tattoo Cafe
นั่งรถเมล์ เที่ยวใน.. Jaipur
หน้า พระราชวังสายลม(Hawa Mahal) จะมีรถเมล์วิ่งผ่านหลายสายครับ เช่น สาย 29 ที่จะวิ่งผ่านสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ คือ Amber Fort และ Jal Mahal ซึ่งอยู่ในเส้นทางเดียวกัน สามารถโบกแล้วขึ้นได้เลย
การขึ้นรถเมล์ในอินเดีย ก็รู้สึกสนุกดีเหมือนกัน ได้เห็นวิถีชีวิตอะไรหลายๆ อย่างเลย บนรถเมล์จะเป็นอะไรที่สับสนวุ่นวาย เบียดเสียดกันไปมามาก รถจอดรับคนขึ้นมาแบบไม่อั้นจริงๆ โดยเฉพาะตอนขึ้นลงนี่เบียดกันไปมาอย่างสุดๆ จากหน้า พระราชวังสายลม(Hawa Mahal) ผ่าน Jal Mahal ไปลง Amber Fort ระยะทาง 11 กิโลเมตร แค่ 8 บาท เท่านั้นเอง!
ลงรถเมล์มาถึง Amber Fort ป้อมปราการโบราณ สถานที่สำคัญแห่งหนึ่งในชัยปุระ ตั้งอยู่บนผาหินเหนือ ทะเลสาบเมาตา (Maota) ป้อมปราการแห่งนี้มี สร้างขึ้นมาแบบสถาปัตยกรรม ที่ผสมผสานกันระหว่างศิลปะ ฮินดู และราชปุต มองไกลๆ แบบนี้ก็ดูสวยงามดีครับ ติดเพียงแค่ว่า.. สภาพอากาศในวันนี้มันร้อนถึงขั้นสุด ร้อนมากๆ เกินบรรยาย มองอะไรนานๆ ไม่ได้ แสบตา.. 55+
จากทางเข้าสามารถขึ้นไปบนป้อมด้านบนได้หลายวิธี ทั้งการขี่ช้าง, นั่งรถจี๊ป, และ การเดิน ซึ่งสำหรับนักท่องเที่ยวเองมักนิยมที่จะขี่ช้าง (ราคา 1,100 รูปี/2 คน/เที่ยวเดียว) ที่จริง.. เราก็อยากจะขี่ช้างเหมือนกันนะ แต่..ต้องมาในช่วงเช้า ไม่เกิน 11.30 น. ซึ่งเวลาที่เรามาถึงตลาดของการขี่ช้างเริ่มจะวายแล้ว เหลือช้างไม่กี่เชือกเท่านั้น..
และ ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนมาก เริ่มทำให้เราชั่งใจแล้วว่าควรจะขี่ช้างดีมั้ย? เพราะช้างมันจะค่อยๆ เดินต้วมเตี้ยมค่อยๆ ไต่ระดับของเนินขึ้นไป ประกอบกับเจ้าหน้าที่มาแนะนำว่า.. ขึ้นรถไปจะสะดวกกว่า เพราะแดดมันร้อน ใช้เวลานาน ซึ่งถ้าขี่ช้างตอนขาลงต้องเดินลงมาอีก สุดท้าย ก็เลย.. นั่งรถดีกว่า(เป็นเหมือนรถไฟฟ้าคันเล็กๆ) ตั๋วแบบ Two Way Ride คนละ 50 รูปี ก็ 25 บาทไทย นั่งได้ทั้งขาไป และ ขากลับ รวดเร็ว สบาย.. พอไปถึงข้างบน ก็รู้สึก คิดไม่ผิดจริงๆ 55+
วันนี้วันหยุด Amber Fort คนมหาศาลมาก ทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติ และ พี่น้องชาวอินเดียที่พร้อมใจกันออกมาเที่ยวพักผ่อนกันในวันหยุด บรรยากาศก็เลยค่อนข้างที่จะคึกคัก และ วุ่นวายกันเป็นพิเศษในวันนี้ สำหรับ Amber Fort ค่าเข้าชม คนละ 500 รูปี แต่ที่นี่..สามารถซื้อตั๋วรวมแบบเข้าสถานที่ท่องเที่ยวได้หลายที่ เช่น Amber Fort, Jantar Mantar, Albert Hall, Nahargarh Fort, Hawa Mahal เป็นต้น ในราคา 1,000 รูปี เท่านั้น ก็ลองคำนวณกันดูก่อนก็ได้นะครับ ว่าแบบไหนจะคุ้มค่าสำหรับตัวเอง ถ้าคิดว่าตั้งใจจะเข้าทุกที่เลย แบบตั๋วรวม ก็คุ้มดีครับ!
บริเวณสวน อารัมบักห์ ที่อยู่ภายใน Amber Fort
เดินเล่นไปเรื่อยๆ ตามจุดที่ให้แวะต่างๆ ภายใน Amber Fort เป็นป้อมปราการที่มีความใหญ่โตอลังการงานสร้างจริงๆ ครับ
บนป้อมปราการจะมีร้านอาหาร และ คาเฟ่ เล็กๆ อยู่ด้วยครับ ซึ่งตอนนี้.. มันก็เป็นเวลาที่ต้องกินมื้อเที่ยงแล้วล่ะ ก็หาร้านนั่งสั่งอะไรมารองท้องกันสักหน่อย ก็เลยมาเลือกร้าน Coffee Day บรรยากาศในร้านแอร์เย็นฉ่ำ เดินเข้ามานี่นึกในใจ โอ้ววว.. สวรรค์ เลยทีเดียว ขอนั่งตากแอร์พักกินอะไรแป้บ.. สั่ง เป็น Set แซนวิชไก่ กับ ชาไจ(Chai Tea)
จากนั้น.. ก็เอาให้คุ้มค่าตั๋ว เดินเล่น ภายในป้อมต่อกันอีกสักหน่อย ภายในก็มีหลายๆ ส่วนให้เดินชม รวมไปถึง พิพิธภัณฑ์ และ ร้านขายของที่ระลึกต่างๆ
เสร็จจากการชม Amber Fort เราก็จะย้อนกลับไป Jal Mahal ต่อ ซึ่งอยู่ในเส้นทางเดียวกัน จากหน้า Amber Fort ก็ยืนรอรถเมล์สายเดิม สาย 29 ที่ถือว่าเป็นสายรถเมล์ที่รถมาถี่มากๆ แทบไม่ต้องเสียเวลารอเลยครับ ถ้าเจอจอดอยู่ก็โดดขึ้นได้เลย ค่าโดยสารมาลงหน้า Jal Mahal ก็แค่ 5 บาทไทยเท่านั้น
Jal Mahal หรือ พระราชวังฤดูร้อน ตั้งอยู่กลาง ทะเลสาบมันสกา (Man Sagar) สร้างไว้สำหรับราชวงศ์ มาพักผ่อนคลายร้อน ในช่วงฤดูร้อน ตัวอาคาร ชั้นล่างจะถูกน้ำท่วมเมื่อทะเลสาบมีระดับน้ำสูง โดยเหลือเพียงส่วนของชั้นบน ที่จะโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ โดยที่นี่สามารถชมได้จากบนฝั่งเท่านั้น ไม่สามารถเข้าไปข้างในได้
จากหน้า Jal Mahal มายืนรอรถ สาย 29 เข้าเมืองกันต่อ รอไม่นานรถก็มา และเมื่อกลับเข้ามาถึงตัวเมือง เราก็เลือกมาลงป้ายที่ใกล้ Albert Hall ที่สุด
อัลเบิร์ตฮอลล์ (Albert Hall) เป็นพิพิธภัณฑ์กลางของเมืองชัยปุระ ภายนอกมีความสวยงามของสถาปัตยกรรมแบบอังกฤษ ภายในจัดแสดง ภาพถ่าย ประวัติ ความเป็นมา ของเมืองแห่งนี้ ค่าเข้าชม 300 รูปี (ด้านในห้ามถ่ายภาพด้วยนะ)
บริเวณนี้มีนกพิราบเยอะจริงๆ แบบเยอะมากๆ ระวังโดนทิ้งระเบิดใส่หัวกันด้วย.. โดนมาแล้ว 55+
ดูหนัง(ใน)อินเดีย.. สักครั้งต้องลอง!
จากคำร่ำลือ.. เกี่ยวกับ การดูหนังของชาวอินเดีย ที่มีอารมณ์ร่วม และ มีการแสดงออก รีแอคชั่น กับหนังที่กำลังดูอยู่ ทำให้การมาเยือนอินเดียของพวกเราในคราวนี้.. ต้องแวะมาดู หนังอินเดีย(ในโรงหนังอินเดีย) ให้ได้ครับ ซึ่งถึงแม้ว่า.. จะมีเวลาค่อนข้างที่จะจำกัด แต่ก็ขอเจียดเวลา ไปเข้าชมสักนิด สักครึ่งค่อนเรื่องก็ยังดี แบบว่า..ขอเข้าไปชมบรรยากาศการดูหนังของที่นี่สักครั้ง พอเป็นพิธี ก็พอ..
ในเมือง ชัยปุระ(Jaipur) มีโรงหนังขึ้นชื่อของเมือง ที่มีชื่อว่า Raj Mandir Cinema, Jaipur. เป็นโรงหนังแบบ Stand Alone ซึ่งก็ไม่ได้หายากอะไร ตั้งอยู่ย่านแถบใจกลางเมืองนี่เอง ลักษณะภายนอกนี่ดูคลาสสิคมาก เหมือนว่าจะเก่า แต่..ก็ได้รับการดูแลอย่างดี บริเวณโดยรอบดูสะอาดตา กว่าที่คิดมาก ที่สำคัญโรงหนังแห่งนี้ได้ถูกจัดให้อยู่ใน 10 อันดับ The World’s Most Enjoyable Movie Teaters ของ CNN เลยนะ ..ไม่ธรรมดาเลยใช่มั้ยล่ะ?
มาพูดถึงรอบฉายกันบ้าง ที่นี่.. จะฉายภาพยนตร์(ส่วนใหญ่ก็เป็นหนังอินเดียนั่นแหละ) ฉายเป็นรอบ มีทั้งหมด 4 รอบ เวลาเหมือนกันทุกวัน คือ รอบ 12.30 น. / 15.30 น. / 18.30 น. และ 21.30 น. เวลาจะซื้อตั๋วต้องเดินไปด้านข้าง(นอกอาคาร) ซึ่งจะมีจุดจำหน่ายตั๋วอยู่ครับ แบ่งเป็นช่องแยกชาย-หญิง แถวใครแถวมัน จะเปิดให้ซื้อตั๋ว 30 นาที ก่อนเวลาหนังจะฉาย ราคาค่าตั๋ว ก็มีหลายระดับราคา คือ Premium Box 400 รูปี / Diamond Box 300 รูปี และ Emerald 170 รูปี
ส่วนวันนี้.. มีโปรแกรมฉายอยู่ 2 เรื่อง แต่เลือกจะมาดูหนังอินเดีย เรื่อง PAD MAN (เรื่องนี้เข้าฉายที่ไทยด้วย) ราคาค่าตั๋ววันนี้ดูเหมือนจะพิเศษหน่อย คือ ตั๋ว Emerald ตกอยู่ที่ 150 รูปี หรือ 75 บาท ราคาไม่ถึงร้อย เมื่อซื้อตั๋วเสร็จก็เดินเข้าไปในอาคารของโรงหนัง ซึ่งก่อนเข้าก็มีการตรวจเข้มมาก ประชาชนชาวอินเดีย ก็มาต่อแถวทยอยเข้าไปข้างใน พอพ้นประตูเข้าไปเท่านั้นแหละ จะพบกับห้องโถงขนาดใหญ่ที่การตกแต่งภายในมีความสวยงามดีเหมือนกันนะครับ สามารถเดินชมโรงหนังตามมุมต่างๆ ได้อย่างเพลิดเพลิน ระหว่างรอหนังฉายได้เลย หรือ จะไปซื้อขนม ป๊อบคอร์น เครื่องดื่ม ราคาประหยัด(ไม่แพงเหมือนบ้านเรา) ก่อนจะเข้าไปชมหนังก็ได้นะ
พอประตูโรงหนังเปิด ทุกคนที่รออยู่ข้างนอกก็ค่อยๆ ทยอยเข้าไปหาที่นั่งประจำตัวของแต่ละคน คนที่เข้ามาชมก็มีทั้งชาวอินเดียเอง(ที่บางคนแต่งตัวจัดเต็มมาก) และก็นักท่องเที่ยวอย่างเรา ที่อยากลองเข้ามาดูหนังที่นี่บ้างสักครั้ง.. บรรยากาศระหว่างการชมภาพยนตร์ ดูเหมือนจะน่าสนใจกว่าตัวภาพยนตร์เสียอีก ถึงแม้ว่าหนังที่ฉายอยู่ จะไม่ใช่หนังแนวบู๊ล้างผลาญมันส์ๆ แต่..จะออกแนวหนังชีวิต ที่มีมุกตลกสอดแทรกหน่อยๆ มากกว่า ถึงกระนั้น ..ก็พอให้เห็นอารมณ์ร่วมในการดูหนังของชาวอินเดียบ้าง เช่น ฉากเข้าพระเข้านางก็มีเสียงผิวปาก วิ้ดวิ้ววว บ้าง.. ฉากไหนมุกตลกถูกใจ ก็มีปรบไม้ปรบมือบ้าง ..เป็นอะไรที่ดูสนุกดี!
ระหว่างที่หนังฉายจะมี การพักการฉาย หรือ พักเบรค ตรงกลางเรื่อง ซึ่งช่วงเวลานี้ก็สามารถเดินออกไปทำธุระส่วนตัว เข้าห้องน้ำ หรือไปซื้อน้ำ ซื้อขนม ตามอัธยาศัย ก่อนจะเดินเข้าไปรอชมในครึ่งหลังต่อไป แต่ก็..มีบางส่วน ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นนักท่องเที่ยวนี่แหละ ที่ไม่ได้เข้าไปชมต่อ เพราะแค่มาเอาบรรยากาศแค่ครึ่งแรกก็เพียงพอแล้ว(บางคนซื้อตั๋วเพื่อเข้าไปแค่ถ่ายรูปก็มี) รวมไปถึงพวกเราด้วย ที่ขอแค่เข้าไปดูบรรยากาศสักนิดก็พอ (อีกอย่างดูหนังไม่รู้เรื่องด้วย ฟังไม่เข้าใจ 55+) เป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ดี ถือว่าเป็น.. กิจกรรมสนุกๆ ผ่อนคลาย ทิ้งท้ายก่อนอำลาเมือง ชัยปุระ แห่งนี้
และ สำหรับ PAD MAN ในส่วนของครึ่งหลังที่เหลือนั้น ก็คงต้องตามไปเก็บเอาที่ไทยวันหลังละกันนะ..
มื้อสุดท้าย.. ก่อนกล่าวลา India!
พอดูหนังเสร็จ เราก็กลับมาเอาสัมภาระ ที่ฝากเอาไว้กับที่พัก Lostouse : Backpackers Hostel ซึ่งก็เป็นช่วงเวลาเย็นพอดี ก็เลยถือโอกาสจัดการ มื้อเย็น ที่ร้านอาหารของที่พักเลยล่ะกัน ก็เลยจัดเมนูอาหารที่คิดว่าถูกปากมากินให้เต็มที่สักหน่อย ซึ่งอาหารที่นี่.. ก็อร่อยจริงๆ ตั้งแต่มาเยือนอินเดียในทริปนี้เหมือนว่า มื้อสุดท้ายที่อินเดียมื้อนี้ ดูจะถูกปากที่สุด 55+ ก็กินไปเรื่อยๆ รอเวลากลับไปสนามบินครับ
เราได้ให้ทางที่พักติดต่อรถให้มารับไปสนามบินครับ เป็นบริการของ Uber ซึ่งตอนแรกกะว่าจะนั่งรถเมล์ แต่..ทางที่พักแนะนำว่านั่งรถ Uber ไปก็ไม่แพง เดี๋ยวเขาจัดการเรียกให้ ก็เอาตามนั้นครับ ดูน่าจะสะดวกสบายกว่าไปเดินหาป้ายรถเมล์ในตอนมืดๆ แบบนี้ เมื่อถึงเวลารถก็มารับไปสนามบินครับ ใช้เวลาเดินทางแค่ 10 นาที ค่าโดยสาร 170 รูปี ก็เท่ากับ 85 บาท หารสอง ก็ตกคนละ 40 กว่าบาทเท่านั้นเอง ในช่วงเวลาที่ร่างกายเริ่มกรอบ นั่งมาสบายๆ แบบนี้ เป็นอะไรที่ดีมาก 55+
จากนั้น.. ก็เดินเข้ามาภายในตัวอาคารสนามบิน มองหาเคาเตอร์ของ สายการบินแอร์เอเชีย ซึ่งก็หาไม่ยาก เดินเข้ามา ผ่านจุดตรวจ แล้วก็เจอเลย.. จากนั้น ก็ทำการเช็คอิน และโหลดสัมภาระ เดินตัวปลิว เข้า Gate เพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับไทย… พร้อมกับตะโกนในใจว่า.. “หิวส้มตำโว้ยยยย…” 55+
จบทริปการเดินทาง 3 เมือง 3 สี แห่ง ราชาสถาน ประเทศอินเดีย
การเดินทางมาลุยเที่ยวอินเดีย 3 เมือง 3 สี แห่ง ราชาสถาน ในครั้งนี้ เป็นการเดินทางที่สนุกสนานมาก ได้พบเจออะไรแปลกใหม่ ได้ขี่อูฐมันส์ๆ ไปนอนกลางทะเลทราย ได้เห็น พระราชวัง ตึกรามบ้านช่อง อาคารสถาปัตยกรรมที่สวยงาม ได้เห็นวิถีชีวิตของผู้คนชาวอินเดีย และที่สำคัญได้ประสบการณ์การเดินทางหลายอย่างที่ไม่คาดคิดมาก่อน ซึ่งต้องมาสัมผัสด้วยตัวเอง!
และ การเดินทางที่ใช้จ่ายในแต่ละวันอย่างประหยัด(1,000 บาท/วัน) แบบนี้ ก็รู้สึกว่าคุ้มค่ามากเมื่อแลกกับสิ่งที่ได้รับ ทำให้รู้ว่าการมาเที่ยวอินเดียค่าใช้จ่ายไม่ได้แพงเลย สามารถวางแผนมาเที่ยวเองได้อย่างง่ายๆ ทำให้มีมุมมองเกี่ยวกับประเทศนี้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง.. แล้วโอกาสหน้า จะกลับไปเยือนอีกครั้งนะจ๊ะ นายจ๋า..
..นมัสเต..
ปล. การเดินทางในครั้งนี้ แบ่งออกเป็น 4 ตอน คือ
- 3 เมือง 3 สี แห่ง ราชาสถาน อินเดีย(เตรียมตัวเดินทาง)
- Jaisalmer : จัยซัลแมร์ Golden City (นครสีทอง)
- Jodhpur : จ๊อดปูร์ Blue City (นครสีฟ้า)
- Jaipur : ชัยปุระ Pink City (นครสีชมพู)
*ชัยปุระ (Jaipur) ปัจจุบัน สามารถเดินทางไปได้ง่าย ด้วยเส้นทางบินตรง จากสายการบินแอร์เอเชีย ราคาประหยัด เดินทางสะดวกสบาย รวดเร็ว ใช้เวลาเพียง 4 ชั่วโมงเท่านั้น
#ไปชัยปุระไปกับแอร์เอเชีย
#AirAsiaTravels #AirAsia
#CHAILAIBACKPACKER
การท่องเที่ยวเชิงไฉไล | CHAILAIBACKPACKER
Fanpage : https://www.facebook.com/chailaibackpacker
Instagram : CHAILAIBACKPACKER
Twitter : @chailaibackpack / goo.gl/VIBXC9
E-mail : chailaibackpacker@gmail.com
Website : www.chailaibackpacker.com