ตะลุย.. “Nagoya” : เที่ยววนไปในภูมิภาค Chubu. (SHORYUDO Bus Pass สุดคุ้ม!)

SHARE!

ตะลุย.. “Nagoya” : เที่ยววนไปในภูมิภาค Chubu. (SHORYUDO Bus Pass สุดคุ้ม!)

 

ช่วงหลังมานี้.. ต้องยอมรับว่า ผมมีความ “หลงใหล” ใน ประเทศญี่ปุ่น จริงๆ แม้ว่าจะมีโอกาสได้เดินทางไปท่องเที่ยวอยู่เพียงไม่กี่ครั้ง ก็ทำให้รู้สึกคิดถึง และ อยากกลับไปเยือนอยู่เสมอ จนมีความตั้งใจว่า.. จะไปเที่ยวให้ครบทุกเมืองในญี่ปุ่นให้ได้

และ ไม่นานมานี้ สายการบินแอร์เอเชียเอ็กซ์(AirAsia X) ก็ได้เปิดเส้นทางบินใหม่สู่ นาโกย่า ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นเส้นทางหนึ่งที่ผมมีความสนใจมากเช่นกัน จึงมีโอกาสได้ใช้บริการในเส้นทางนี้ ในช่วงเวลาใบไม้เปลี่ยนสี โดยได้เดินทางไปท่องเที่ยวใน นาโกย่า(Nagoya) และ เมืองใกล้เคียง ที่อยู่ใน ภูมิภาคจูบุ(Chubu) อย่างเช่น Takayama, Matsumoto, Kanazawa หรือ สถานที่ยอดฮิตเมืองมรดกโลก อย่าง Shirakawa-Go เป็นต้น ซึ่งแต่ละเมือง แต่ละสถานที่ก็มีความน่าสนใจที่แตกต่างกันไป ลองมาติดตามการเดินทางในทริปนี้กันได้เลย!

 

ไป.. “นาโกย่า” ไป.. เที่ยวไหนดี?

 

นาโกย่า เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์มายาวนาน เป็นเมืองใหญ่ที่สุดใน ภูมิภาคจูบุ(Chubu) ซึ่งอยู่ตรงกลางของประเทศญี่ปุ่น มีสถานที่ท่องเที่ยวมากทาย ทั้งสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ และสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ การเดินทางก็สะดวกสบายด้วยระบบการขนส่งสาธารณะที่ครอบคลุมอย่างทั่วถึง ทั้งใน นาโกย่า และ เมืองท่องเที่ยวใกล้เคียง

ดังนั้น ในทริปนี้.. นอกจาก ผมจะได้เที่ยวใน นาโกย่า แล้ว ก็ได้ออกไปเที่ยวในเมืองใกล้เคียงด้วย โดยจะใช้บัตร “SHORYUDO Highway Bus Ticket” หรือ “SHORYUDO Bus Pass” ในการเดินทางเป็นหลัก เพื่อไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ อย่างเช่น Nagoya, Takayama, Shirakawa-go, Kanazawa, Shinhotaka, Matsumoto เป็นต้น

 

ซื้อบัตร Shoryudo Highway Bus Pass (สำหรับ 3 หรือ 5 วัน) ได้ที่นี่ คลิกเลยครับ!

 

 

แผนการเดินทาง Nagoya (8 Days in CHUBU)

  • DAY 1 : BANGKOK / NAGOYA
  • DAY 2 : NAGOYA
  • DAY 3 : MATSUMOTO
  • DAY 4 : TAKAYAMA / HIDA FURUKAWA
  • DAY 5 : KAMIKOCHI / SHIN HOTAKA ROPEWAY
  • DAY 6 : KANAZAWA
  • DAY 7 : SHIRAKAWA-GO
  • DAY 8 : NAGOYA / BANGKOK

(2-9 NOV 2018)

ซึ่งเอาเข้าจริงๆ แล้ว การเดินทาง จะเป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้หรือไม่? ก็ลองติดตามกันดูนะครับ!

 

SHORYUDO Bus Pass” บัตรเดียวเที่ยวได้ทั่ว Chubu!

 

มาทำความรู้จักกับบัตร “SHORYUDO Highway Bus Ticket” หรือ “SHORYUDO Bus Pass” กันสักหน่อยนะครับ ซึ่งบัตรนี้ เป็นบัตรพาสรถด่วน สำหรับท่องเที่ยว ในเขต “SHORYUDO” (ตามชื่อพาส) ซึ่งอยู่ใน ภูมิภาคจูบุ (Chubu) แบบไม่จำกัดเที่ยว ในระยะเวลาและเส้นทางที่กำหนด โดยมีให้เลือก 3 เส้นทาง คือ 3-Day Pass Takayama – Shirakawa-go – Kanazawa Course(7,500 เยน), 3-Day Pass Matsumoto – Magome – Komagane Course(7,000 เยน) และ 5-Day Pass Wide Course(13,000 เยน)

สำหรับผม ทริปนี้อยู่นานหน่อยก็เลยเลือกแบบ 5-Day Pass Wide Course ใช้ได้ 5 วัน ในราคา 13,000 เยน ซึ่งเมื่อลองคิดคำนวณดูแล้วก็ช่วยประหยัดดีนะครับ พาสนี้สามารถท่องเที่ยวด้วยรถบัสได้ครอบคลุมหลายเมืองที่น่าสนใจใน Chubu ยกตัวอย่างเช่น Nagoya, Gifu, Takayama, Shirakawa-go, Kanazawa, Toyama, Shinhotaka, Matsumoto เป็นต้น แต่เอาเข้าจริงๆ ระยะเวลา 5 วัน ไม่สามารถไปให้ครบได้ทุกเมือง ดังนั้น จึงควรวางแผนล่วงหน้าว่า.. จะไปเที่ยวที่ไหนบ้าง? และก่อนเดินทางดีกว่าครับ ซึ่ง SHORYUDO Bus Pass ที่ได้มานั้น จะเป็นแฟ้มเล็กๆ มีทั้งคู่มือท่องเที่ยว และตารางเดินรถระหว่างเมืองต่างๆ มาให้อีกด้วยครับ

อ๋ออีกอย่าง.. พาสนี้ รวมการเดินทางระหว่างสนามบิน Central Japan International Airport ด้วยนะ แบบว่าพอลงเครื่องที่สนามบินแล้วก็สามารถใช้พาสสำหรับเดินทางเข้าเมืองได้เลย

 

ซื้อบัตร Shoryudo Highway Bus Pass (สำหรับ 3 หรือ 5 วัน) ได้ที่นี่ คลิกเลยครับ!

 

 

ออกเดินทาง สู่.. นาโกย่า!

ผมเริ่มต้นออกเดินทาง ที่ ท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง โดยใช้บริการของ สายการบินแอร์เอเชียเอ็กซ์ เพื่อความสะดวกรวดเร็ว ผมได้ทำการเช็คอินออนไลน์ผ่านเว็บไซต์มาก่อน พอมาถึงสนามบินก็ไปเข้าแถวสำหรับโหลดสัมภาระ ซึ่งก็ไวดีเหมือนกันครับ ก็เลยอยากแนะนำสำหรับใครที่ไม่อยากต่อแถวนานๆ เช็คอินออนไลน์ มาก่อน จะดีกว่านะครับ

สำหรับใครที่มาพักโรงแรมใน กทม. ก่อนออกเดินทาง แล้วมีสัมภาระเยอะ ขอแนะนำบริการส่งกระเป๋าระหว่างสนามบินกับโรงแรม โดย แอร์พอเทลล์(AIRPORTELs) สามารถฝากกระเป๋าไว้ที่เคาน์เตอร์แอร์พอเทลล์ ใน สนามบินสุวรรณภูมิ หรือ สนามบินดอนเมือง เพื่อส่งกระเป๋าไปยังโรงแรมที่พัก หรือจะฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรม แล้วให้แอร์พอเทลล์บริการขนกระเป๋าไปยังสนามบินก็ได้ครับ เป็นอีกบริการที่น่าสนใจ สามารถจองบริการนี้ผ่าน Traveloka เมนูกิจกรรม หรือ เข้าไปดูรายละเอียดได้ ที่นี่ ครับ!

สายการบินแอร์เอเชียเอ็กซ์ มีบริการบินตรงทุกวัน จาก ท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง (DMK) สู่ ท่าอากาศยานนานาชาติชูบุเซ็นแทรร์ (NGO) เมืองนาโกย่า ประเทศญี่ปุ่น

เช้านี้.. อากาศดูสดใส พร้อมออกเดินทางกันครับ

พนักงานต้อนรับ ต้อนรับอย่างดีด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส

ท้องฟ้าวันนี้แลดูสดใสมาก นั่งว่างๆ ไม่มีอะไรทำก็ นอนยาวๆ ไป.. 55+

พอตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เวลาเสิร์ฟอาหารพอดี ซึ่งได้ทำการสั่งอาหารเอาไว้ล่วงหน้า จะช่วยให้ประหยัดกว่ามาสั่งซื้อที่บนเครื่องนะครับ สำหรับมื้อเช้านี้ เป็นเมนู ข้าวอบไก่ย่าง

สามารถจองตั๋วเครื่องบินไป “นาโกย่า” กับ Air Asia X ได้ที่นี่ >> https://www.traveloka.com/th-th/thai-airasia-x จองง่าย จ่ายได้หลากหลายช่องทาง แถมมีโปรโมชั่นออกมาเรื่อยๆ ครับ

 

สวัสดี.. นาโกย่า!

ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมงกว่า ก็มาถึง ท่าอากาศยานนานาชาติชูบุเซ็นแทรร์ (NGO) เวลาท้องถิ่น ณ ตอนนี้ ประมาณ 14.30 น. ซึ่งเร็วกว่าประเทศไทย 2 ชั่วโมงครับ

เมื่อเข้ามาสู่อาคารผู้โดยสาร ผ่านการตรวจคนเข้าเมือง และ รับสัมภาระเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็จะเดินทางเข้าเมืองกันต่อครับ โดยวิธีการนั่งรถไฟ ก็เดินตามป้ายไปเรื่อยๆ ครับ ไม่มีหลงแน่นอน..

สำหรับใครที่สั่งซื้อ SHORYUDO Bus Pass ผ่านทางเว็บไซต์ หรือ ช่องทางอื่นๆ เอาไว้ ก็สามารถนำ Voucher มาแลกพาสตัวจริงได้ที่เคาท์เตอร์ Chubu International Airport Meitetsu Travel Plaza ในสนามบิน แล้วสามารถใช้พาสนั่งรถไฟเข้าเมืองได้เลย

แต่.. ถ้าใครยังไม่สะดวกแลกพาสในสนามบิน ก็สามารถไปแลกได้ตามจุดให้บริการต่างๆ ก็ได้ครับ ซึ่งผมก็เก็บไว้ไปแลกในเมืองนาโกย่าเช่นกัน เพราะผมคิดว่าเดินทางมาถึง ท่าอากาศยานนานาชาติชูบุเซ็นแทรร์ (NGO) ก็เป็นเวลาเกือบบ่ายสามโมงแล้ว ถ้าแลกพาสและใช้พาสเลย เวลาในพาสก็จะหายไปแล้วหนึ่งวัน ก็เลยเก็บไว้ในวันหลังแบบเต็มๆ 5 วันเลยจะดีกว่า โดย จุดแลกพาสใน นาโกย่า ก็มีหลายจุดครับ ที่ดูสะดวกก็ Meitetsu Bus Center Nagoya ซึ่งเป็นทั้งจุดแลกพาส และ สถานที่ขึ้นรถบัสไปยังสถานที่ต่างๆ ครับ

 

เดินทางจากสนามบินเข้าเมือง นาโกย่า ด้วยรถไฟ!

ผมเดินตามป้ายมาเรื่อยๆ ก็มาถึง สถานี CENTRAL JAPAN INTERNATIONAL AIRPORT(NGO) โดยจะนั่งรถไฟไปลงที่ สถานี MEITETSUNAGOYA ใช้เวลาเดินทาง 37 นาที

ตอนซื้อตั๋ว สามารถกดซื้อได้ที่เครื่องจำหน่ายตั๋วได้เลยครับ ราคา 870 เยน ขึ้นต้นสายแบบนี้ได้นั่งสบายไปครับ

 

Eco Hotel Nagoya ที่พักราคาประหยัดใกล้สถานีรถไฟ

เดินทางมาถึง ตัวเมืองนาโกย่า แล้ว ก็กะว่าจะไปเช็คอิน เก็บของ ที่โรงแรมกันก่อนครับ ซึ่งทริปนี้เดินทางกันมา 2 คน แบบกินง่าย อยู่ง่าย ก็เลยเลือก โรงแรม Eco Hotel Nagoya ที่อยู่ใกล้ สถานีรถไฟ และ สถานีรถบัส สามารถเดินไปได้ในเวลาไม่กี่นาทีเท่านั้น โรงแรมนี้เป็นโรงแรมเล็กๆ เป็นตึกเล็กๆ ลีบๆ ตรงกลางภาพนั้นแหละครับ ท่าทางจะใช้พื้นที่ได้คุ้มค่ามากเลย 55+

ห้องพัก เป็นห้องขนาดเล็ก ภายในมีเตียงสองชั้น เครื่องปรับอากาศ ทีวี ตู้เย็น และของใช้สำหรับใช้ในห้องน้ำ ซึ่งก็ดูคุ้มค่าดีเหมือนกันครับ ห้องนี้จองมาแค่ พันกว่าบาทไทย เท่านั้นเอง

บริเวณหน้าห้อง จะเป็นที่สำหรับไว้ล้างหน้า แปรงฟัน

มี ตู้กดเครื่องดื่มอัตโนมัติ ไว้บริการ

ห้องน้ำ จะมีอยู่ทุกชั้น และ ห้องอาบน้ำ จะอยู่ชั้นล่างสุด กดลิฟท์ลงไปได้เลย โดยในห้องอาบน้ำก็จะมีสบู่เหลว แชมพู และ ผ้าขนหนู ไว้ให้ด้วยครับ

 

ชมเทศกาลแสดงไฟ Nabana No Sato!

ช่วงใกล้หน้าหนาวแบบนี้ ดูมืดค่ำเร็วมากครับ เมื่อเก็บของเข้าโรงแรมเรียบร้อย เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา จึงรีบออกไปเที่ยวกันต่อดีกว่าครับ โดยจุดหมายของค่ำคืนนี้อยู่ที่ เทศกาลแสดงไฟ Nabana No Sato ซึ่งวิธีการเดินทางจาก นาโกย่า ก็สะดวกมากครับ เพราะมีรถบัสบริการไปส่งถึงที่เลย

 

เริ่มต้นเดินทาง ที่ Meitetsu Bus Center Nagoya แล้วขึ้นไปซื้อตั๋วรถบัสที่ชั้น 3 ก่อนครับ แนะนำซื้อ ตั๋วรถบัสแบบไป-กลับ ราคา 1,780 เยน จะสะดวกกว่าครับ

ตารางรถบัส ระหว่าง Nagoya กับ Nabana No Sato เช็คเวลา และบริหารเวลากันให้ดีด้วยนะ

ซื้อตั๋วแล้วก็มารอขึ้นรถที่ ชั้น 4 ประตู 22 ครับ มีผู้โดยสารบางส่วนมายืนต่อแถวรอขึ้นรถกันแล้ว

ใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมงก็มาถึงแล้วครับ รถบัสจะมาจอดตรงป้ายบริเวณทางเข้า พอลงรถบัสมานี่สัมผัสได้ถึงอากาศหนาวเย็นเลยทีเดียว

แค่ตรงทางเข้า ก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศความอลังการของไฟซะแล้ว

เทศกาลแสดงไฟ Nabana no Sato เป็นงานประดับไฟในช่วงฤดูหนาว โดยเริ่มจัดตั้งแต่ประมาณ กลางเดือนตุลาคม (ฤดูใบไม้ร่วง) ยาวไปจนถึง ต้นเดือนพฤษภาคม (ฤดูใบไม้ผลิ) ของปีถัดไป (ปีนี้จัดตั้งแต่ 20 ตุลาคม 2018 – 6 พฤษภาคม 2019) โดยมี ค่าเข้าชม คนละ 2,300 เยน (จะได้คูปอง 1,000 เยน สำหรับนำไปใช้แทนเงินสดสำหรับซื้อของ หรือ ทานอาหารภายในงาน)

มาถึง นาโกย่า แล้วรีบมาดูไฟต่อ ก็เลยไม่ได้ยังไม่ได้กินอะไรเลย คูปอง 1,000 เยน ก็ได้ใช้โดยทันที ผมเลือกไปกิน ร้านหมูทอดคงคัตสึ ที่ตั้งอยู่ในงาน ซึ่ง คูปอง 1,000 เยน อาจไม่พอ.. จึงต้องเพิ่มเงินอีกนิดหน่อย ร้านนี้ก็อร่อยดีครับ หรือ หิวก็ไม่รู้ 55+ หมูทอดให้มาชิ้นโต ราดด้วยซอสมิโสะ แถมข้าวก็เติมได้ด้วย ผมเบิ้ลข้าวไปสอง ก็อิ่มจนจุกแล้ว.. เป็นอีกหนึ่งเมนูที่ห้ามพลาดเมื่อมาเที่ยวนาโกย่าครับ

อิ่มแล้วก็ได้เวลามาเดินย่อย ดูไฟไปเพลินๆ ครับ ซึ่งบริเวณภายในงานก็ส่วนของการจัดแสดงไฟไว้หลายส่วนเลย

แต่ที่.. เป็นไฮไลท์ก็ต้อง อุโมงค์ไฟ ความยาวประมาณ 200 เมตร ตรงนี้ครับ เดินเข้ามาแลดูอลังการมาก

อุโมงค์ไฟ อลังการงานสร้าง

นักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปเล่นกันที่นี่เพียบเลยครับ นี่ขนาดเป็นวันธรรมดายังเยอะขนาดนี้

บรรยากาศความสวยงามของแสงไฟ จากดวงไฟดวงเล็กๆ จำนวนมาก ภายในอุโมงค์แสดงไฟ

ผมใช้เวลาเดินเล่น ชมบรรยากาศ แสง สี ใน เทศกาลแสดงไฟ Nabana no Sato อยู่พอสมควร ก่อนที่จะไปรอรถบัส ตรงบริเวณป้ายรถบัสที่ลงตอนขามา เพิ่อกลับเข้าเมืองนาโกย่า ครับ

 

เดินเล่นยามราตรีในเมือง นาโกย่า!

ช่วงดึกๆ ขอเดินเล่นชมเมืองนาโกย่ายามราตรีต่อกันสักหน่อย จาก Meitetsu Bus Center Nagoya ผมนั่ง Subway ไป สถานี Sakae เพื่อไปเดินเล่น ย่านซากาเอะ(Sakae) ซึ่งเป็นย่านท่องเที่ยวและแหล่งช้อปปิ้งของเมืองนาโกย่า ซึ่งมีแลนด์มาร์คที่น่าสนใจที่ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้กัน อย่างเช่น

  • Sunshine Sakae ศูนย์การค้าที่มีจุดเด่นตรงชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ด้านนอกของอาคาร ภายในมีร้านค้า ร้านอาหารต่างๆ มากมาย และฝั่งตรงข้ามก็เป็นร้านช้อปปิ้งยอดนิยม Don Quijote (สาขา Nagoya Sakae) อีกด้วย

  • Nagoya TV Tower หอคอยส่งสัญญาณโทรทัศน์ที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในบริเวณ สวน Hisaya Odori Park หอคอยนี้มีความสูง 180 เมตร ด้านบนมีจุดสำหรับชมวิว โดยสามารถซื้อตั๋วขึ้นไปชมวิวด้านบนได้ครับ (ค่าเข้าชม 700 เยน)

  • Oasis 21 อาคารที่มีรูปทรงอันล้ำสมัย ใกล้กับ หอคอยนาโกย่าทีวีทาวเวอร์ มีจุดเด่นตรงหลังคากระจกรูปวงรีขนาดใหญ่คล้ายยานอวกาศ โดยนักท่องเที่ยวสามารถเดินขึ้นไปชมวิวด้านบนได้อีกด้วยนะ

 

เมนูต้องห้ามพลาด เมื่อมาเยือน นาโกย่า!

 

เขาว่ากันว่า.. อาหารขึ้นชื่อ เมนูที่ต้องห้ามพลาด เมื่อมาเยือน นาโกย่า นั้นมีอยู่ 3 อย่าง ก็คือ ข้าวหมูทอดทงคัตสึราดซอสมิโสะ, ข้าวหน้าปลาไหล และ ปีกไก่ทอด Tebasaki ซึ่งเมนูแรก ข้าวหมูทอดทงคัตสึ ผมได้ไปลองชิมมาแล้วข้างต้น เหลืออีก 2 เมนู เดี๋ยวจะพาไปชิมกันต่อเลยครับ

1. Maruya Honten เลือกมาชิมเมนู ข้าวหน้าปลาไหล ที่ร้านนี้ ก็เพราะว่าเป็นอีกหนึ่งร้านดังของนาโกย่า ที่สำคัญเดินทางสะดวกด้วย เพราะร้านตั้งอยู่ในอาคารเดียวกับ สถานีรถไฟ MEITETSUNAGOYA เลยครับ มาร้านนี้ก็ต้องเผื่อเวลารอคิวกันหน่อยนะ ช่วงคนมาใช้บริการเยอะๆ รอเป็นชั่วโมงก็มีครับ

และ ผมก็ต้องรอเหมือนกัน รอไปเกือบครึ่งชั่วโมง พนักงานก็เรียกเข้าไปนั่งในร้านครับ เมนูข้าวหน้าปลาไหล ก็มีให้เลือกหลายแบบ ตามปริมาณข้าว และ ปริมาณเนื้อปลาไหล ผมขอเลือกเป็น เซ็ตเมนูแนะนำ ราคา 3,550 เยน สั่งไปไม่นานก็มาเสิร์ฟครับ ปลาไหลย่างกลิ่นหอมมาก และน่ากินมากๆ เลยครับ

เนื้อของปลาไหลย่าง กรอบนอก นุ่มใน ไร้ก้าง ไม่มีกลิ่นคาว กินกับข้าวร้อนๆ เป็นอะไรที่ฟินสุดไปเลย..

วิธีการกิน เขาจะมีวิธีแนะนำบอกด้วยนะครับ เช่น กินปลาไหลกับข้าวสวย, กินปลาไหลกับข้าวสวย เติมผักเครื่องเคียง และ กินปลาไหลกับข้าวสวย เติมผักเครื่องเคียง พร้อมเติมน้ำซุปลงไปด้วย เป็นต้น

ลองแบบเติมน้ำซุปร้อนๆ ลงไปสักหน่อย จะเหมือนกินข้าวต้มเลย

จากที่ลองชิมวิธีการกินมาทั้งหมด ส่วนตัวแล้วผม รู้สึกชอบ.. แบบแรก ที่กินปลาไหลกับข้าวสวยเพียวๆ มากกว่า เพราะได้สัมผัสถึงรสชาติของปลาไหลแบบเต็มๆ แม้ราคาจะสูงไปนิด แต่… ฟินจริงๆ ครับ 55+

 

ข้อมูลร้านอาหาร

 

2. Yamachan ร้านปีกไก่ทอด Tebasaki ที่มีสาขาทั่วทั้งญี่ปุ่น และคุ้นหน้าคุ้นตากันดีเพราะมีสาขาอยู่ในประเทศไทยด้วย ซึ่งเฉพาะในนาโกย่าเองก็มีอยู่หลายสาขาเลยครับ ผมเลยขอจิ้มเลือกสักสาขาที่อยู่ไม่ไกลจาก โรงแรม Eco Hotel Nagoya ที่ผมพัก เดินไปประมาณ 300 เมตรเท่านั้นเอง จากภาพจะเห็นว่า นอกจากปากซอยจะมีร้านนึงแล้ว ในซอยก็ยังมีอีกร้านด้วย ผมเดินดูทั้ง 2 ร้านเลยครับ แต่ชอบร้านตรงปากซอยมากกว่า จัดไป..

มาถึงที่ก็ต้องจัดเต็มกันสักหน่อย ร้านนี้ปิดดึกครับ ทำให้มีเวลานั่งนานอยู่พอสมควร บรรยากาศภายในร้านคึกคักมากคนเดินเข้าเดินออกร้านอยู่ตลอดเวลา เต็มแทบทุกโต๊ะ แต่อาหารเสิร์ฟเร็วมาก ไม่นานก็ได้ปีกไก่ทอดแบบจัดเต็ม 25 ปีก กินกัน 2 คน เต็มที่เลย 555+

นอกจากนี้ ก็มีเมนูอร่อยๆ ให้ลองชิมเยอะแยะเลย ซึ่งดูแล้วเหมาะที่จะเป็นกับแกล้มซะมากกว่า อิอิ!

สั่งเบียร์มาจิบ พร้อมกับแทะปีกไก่ไปด้วย มันก็เข้ากันได้ดีเหมือนกันนะครับ เพลินใช้ได้เลย..

สำหรับ ร้านปีกไก่ทอด Yamachan นี้ รสชาติอาจจะไม่แตกต่างกับสาขาในประเทศไทย (ซึ่งในไทยผมก็ไปกินอยู่บ่อยๆ) แต่สำหรับบรรยากาศภายในร้านนั้น ย่อมแตกต่างแน่นอนครับ จะได้อารมณ์และความคึกคักสไตล์ร้านอิซากายะญี่ปุ่น ซึ่งถ้าใครไม่ชอบกลิ่นบุหรี่ แนะนำบอกพนักงานขอโซนปลอดบุหรี่ดีกว่านะครับ

ข้อมูลร้านอาหาร

 

Matsumoto” ชมปราสาทอีกา เดินเล่นถนนกบ นอนสบายแบบเรียวกัง!

การเดินทางจาก Nagoya ไป Matsumoto ผมใช้ SHORYUDO Bus Pass ซึ่งเป็นวันแรกของการเริ่มใช้พาสนี้ โดยเส้นทางนี้ ถ้าดูจากตารางรอบรถที่ได้มาพร้อมกับพาส เป็นเส้นทางที่จะต้องจองที่นั่งเท่านั้น ก็สามารถนำพาสมาขอจองที่นั่งตรงเคาท์เตอร์จำหน่ายตั๋วที่ Meitetsu Bus Center Nagoya ได้เลยครับ เจ้าหน้าที่จะออกตั๋วแบบระบุที่นั่งให้ใหม่ครับ โดยรอบรถที่ผมจองไปเป็นรอบ เวลา 09.10 น. ถึง ปลายทาง Matsumoto Bus Terminal เวลา 12.37 น.

แม้จะเป็นการระบุที่นั่ง แต่รถรอบนี้คนก็น้อยครับ มีอยู่ไม่ถึง 10 คน นั่งไปสบายๆ มาก ช่วงเวลานี้ก็งีบหลับไปอย่างเดียวเลย..

รถบัสมาถึงจุดหมาย ได้ตรงเวลาตามที่ระบุเลย ตรงเวลามากๆ โดยรถบัสจะมาจอดที่ Matsumoto Bus Terminal

Matsumoto Bus Terminal จะอยู่ตรงข้ามกับ สถานีรถไฟ Matsumoto เป็นศูนย์รวมการเดินทางด้วยรถบัสไปยังเมืองต่างๆ

 

Ryokan Matsukaze เรียวกังนอนสบายใน Matsumoto!

มาญี่ปุ่นรอบนี้.. ผมตั้งใจว่าจะหาที่พักแบบเรียวกังนอนสักคืน จากที่เทียบราคาที่พักแบบเรียวกังในหลายๆ เมือง ก็รู้สึกว่า.. ในเมือง Matsumoto นี่แหละ ราคาดูจะประหยัดสุด โดยจองเรียวกัง ชื่อ Ryokan Matsukaze ในราคาคนละประมาณ 1,000 บาท/คืน(ไม่รวมอาหารเช้า) อยู่ห่างจาก Matsumoto Bus Terminal ออกมานอกเมืองประมาณ 700 เมตร

Ryokan Matsukaze เป็นเรียวกังที่ค่อนข้างจะสะอาดมาก บรรยากาศสงบ ผู้ดูแลที่นี่ก็น่ารัก ใจดี และคอยช่วยเหลือดีมากครับ แม้ว่าจะสื่อสารกันลำบากนิดหน่อย.. ซึ่งผมมาถึงก่อนเวลาเช็คอิน ตั้งใจจะฝากกระเป๋าเอาไว้ก่อน แต่ผู้ดูแลก็ใจดีให้เอากระเป๋าเข้าไปเก็บในห้อง และเปิดห้องให้พักผ่อนก่อนได้เลยครับ ภายในห้อง ก็จะเหมือนกับที่พักเรียวกังทั่วไปที่พิ้นห้องปูด้วยเสื่อตาตามิ เซ็ตชงชา กาน้ำร้อน ทีวี เครื่องปรับอากาศ และ ที่นอนแบบฟูกญี่ปุ่น นอนสบายล่ะ คืนนี้!

เซ็ตชงชา จะมีผงชาเขียว และ น้ำร้อน ไว้บริการ

ชุดยูกาตะ และ ผ้าเช็ดตัว(พร้อมสบู่เหลว แชมพู อุปกรณ์อาบน้ำ มีให้บริการในห้องอาบน้ำ)

ที่นี่.. มีออนเซ็นให้แช่ด้วยนะครับ เที่ยวหนักๆ เดินเยอะๆ มาแช่ออนเซ็นฟินๆ ช่วยผ่อนคลายได้อย่างดีเลย!

ถ้าจะออกไปข้างนอก เรียวกังก็มีบริการ จักรยานให้ยืมฟรี! ด้วยครับ สามารถปั่นออกไปเที่ยวเล่นได้เลย ซึ่งตอนแรกผมก็กะจะปั่นจักรยานไปวนเที่ยวในเมือง แต่คิดว่าเดินไปจะดีกว่า .. เพราะ หยุดแวะถ่ายรูปเล่นตามจุดที่น่าสนใจง่ายกว่า ไม่ต้องพะวงหาที่จอดจักรยาน

Matsumoto วันนี้ บรรยากาศดูอึมครึม และชุ่มฉ่ำไปด้วยสายฝนที่ตกๆ หยุดๆ อยู่ตลอดเวลา แต่ก็สามารถพอให้ออกมาเดินเล่นในเมืองได้อยู่

จุดหมายที่ผมจะไปอยู่ที่ ปราสาทมัตสึโมโตะ(Matsumoto Castle) ที่อยู่ห่างจากที่พัก ราว 20 นาที ด้วยการเดินเท้า แม้จะเป็นระยะทางที่ดูไกลไปหน่อย.. แต่บรรยากาศในเมือง มัตสึโมโตะ ในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีเช่นนี้ ก็ทำให้เดินเล่นเพลินได้เหมือนกัน

 

ปราสาทมัตสึโมโตะ(Matsumoto Castle)

ปราสาทมัตสึโมโตะ เป็นปราสาทที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น สร้างขึ้นในปี 1593-1594 เนื่องจากตัวปราสาทมีสีดำ ดังนั้นปราสาทนี้จึงถูกเรียกว่า ปราสาทอีกา บริเวณรอบปราสาท ในช่วงนี้ ก็จะพบกับความสวยงามของใบไม้เปลี่ยนสี แต่ถ้ามาเที่ยวในช่วงของดอกซากุระบาน ที่นี่ก็เป็นจุดชมซากุระที่สวยงามไม่แพ้ที่อื่นเช่นกัน นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมปราสาทได้โดยรอบ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ถ้าจะเข้าไปชมภายในตัวปราสาท ก็จะมีค่าเข้าชมด้วยครับ (ผู้ใหญ่ 610 เยน เด็ก 300 เยน)

 

  • ศาลเจ้าโยฮะชิระ (Yohashira Jina Shrine)

เดินผ่าน ศาลเจ้าโยฮะชิระ แล้วสะดุดตากับสีสันของใบไม้เปลี่ยนสีมาก จนต้องขอเข้าไปชมสักหน่อย ซึ่งศาลเจ้านี้ อยู่ไม่ไกลจาก ปราสาทมัตสึโมโตะ ถ้าเดินจากสถานีรถไฟ ไป ปราสาทมัตสึโมโตะ ศาลเจ้าก็อยู่ระหว่างทางนั่นเองครับ

ภายในศาลเจ้า จะมีนักท่องเที่ยวแวะเวียนเข้ามาขอพรกันอย่างไม่ขาดสายเลย

บรรยากาศภายในมีสวนเล็กๆ ที่ช่วงนี้ใบไม้กำลังเปลี่ยนสี สวยงาม

ใบไม้เปลี่ยนสี สีสันสดใส

 

  • ถนนนาวะเตะ (Nawate Street)

ติดกันกับ ศาลเจ้าโยฮะชิระ จะมีถนนเส้นเล็กๆ เส้นหนึ่ง ที่เลียบไปกับแม่น้ำ ถนนเส้นนี้มีชื่อว่า ถนนนาวะเตะ (Nawate Street) หรือ ถนนกบ ที่เรียกกันเช่นนี้ก็เพราะว่า ถนนนี้จะเต็มไปด้วยกบ ไม่ว่าจะเป็นรูปปั้น หรือ สินค้าตามร้านค้าต่างๆ

ร้านค้าทั้งสองข้างจะมีความเก่า ได้บรรยากาศย้อนยุค โดยจะมีร้านขายอาหาร ขายสินค้าที่ระลึก และคาเฟ่ต่างๆ เหมาะที่จะมาเดินเล่น

ร้านขายอาหาร และ ขนมท้องถิ่น ราคาไม่แพง

สินค้าของที่ระลึกสารพัดกบ มีให้เห็นตลอดทั้งถนนเส้นเล็กๆ แห่งนี้

 

  • ถนนนากามาจิ (Nakamachi Street)

ถนนนากามาจิ (Nakamachi Street) ถนนอีกเส้นที่อยู่ติดกับ ถนนนาวะเตะ (Nawate Street) เมื่อเดินเข้ามาที่ถนนเส้นนี้ รู้สึกว่าโปร่งสบายตาดีมาก.. เพราะอาคารโบราณทาสีขาวที่ตั้งอยู่สองข้างทาง ซึ่งอาคารเหล่านี้ เมื่อก่อนเคยเป็นโกดังไว้เก็บสินค้า ต่อมาก็เปลี่ยนมาเป็นร้านค้า ร้านอาหาร อย่างที่เห็นในปัจจุบัน

ตัวอาคารดูสวย และเป็นเอกลักษณ์ดีนะครับ

 

Mensho Sakura ร้านราเมง รสชาติเข้มข้น!

หลังจากเดินชมเมือง มัตสึโมโตะ จนได้ที่แล้ว ก็ได้เวลาที่จะต้องเดินกลับที่ที่พักครับ ซึ่งก่อนกลับผมก็ได้แวะหามื้อเย็นกินให้เรียบร้อยซะเลย ก็มาเจอกับร้านราเมงร้านนี้ครับ ชื่อว่า ร้าน Mensho Sakura ที่เขาว่ากันว่า.. เป็นราเมงที่รสชาติอร่อย น้ำซุปเข้มข้น แถมราคาประหยัดอย่างไม่น่าเชื่ออีกด้วย ร้านนี้เขาเปิดทุกวันครับ แบ่งเปิดเป็น 2 ช่วง คือ 11.30 น. – 15.30 น. และ 17.30 น. – 22.00 น. ผมเดินมาถึงร้านนี้ ประมาณ 17.00 น กว่าๆ ก็เห็นมีคนมายืนรอคิวเข้าร้านแล้วครับ ท่าทางจะเด็ดจริง!

วิธีสั่งอาหารของร้านนี้ ต้องซื้อคูปองจากตู้จำหน่ายคูปองอัตโนมัติก่อนนะครับ แล้วค่อยนำคูปองไปให้พนักงาน

ราเมงชามนี้ ราคา 850 เยน ชามโต เส้นเหนียวนุ่ม น้ำซุปรสชาติเข้มข้นมาก

บรรยากาศหนาวๆ กินราเมงร้อนๆ เป็นอะไรที่สุดยอดมากเลยครับ ติดใจกับความอร่อยของราเมงร้านนี้จริงๆ ครับ

อิ่มจากราเมง ผมก็เดินฝ่าความหนาวเย็นกลับที่พัก Ryokan Matsukaze พอกลับไปถึงก็ไม่รอช้า เปลี่ยนเสื้อผ้าไปแช่ออนเซ็นฟินๆ และ ก็เข้านอนครับ เป็นคืนที่นอนสบายตลอดทั้งคืนเลย..

 

Takayama” เดินตลาดเช้า เที่ยวย่านเมืองเก่า และ ชิมเนื้อฮิดะในตำนาน!

เช็คเอาท์ ออกจากที่พัก กันตั้งแต่เช้า เพื่อไปขึ้นรถเที่ยวแรกไป ทาคายาม่า(Takayama) โดยมีรถบัสออกจาก Matsumoto Bus Terminal เที่ยวแรก เวลา 07.50 น. ไปถึง Takayama Bus Terminal เวลา 10.15 น. เส้นทางนี้สามารถใช้พาส SHORYUDO Bus Pass โดยไม่ต้องจองที่นั่ง สามารถโชว์พาสแล้วขึ้นรถได้เลย

เส้นทางนี้ไม่จำเป็นอย่าเผลอหลับนะครับ เพราะสองข้างทางบรรยากาศสวยงามมากๆ นั่งเพลินๆ แป้บเดียวก็มาถึงปลายทางที่ Takayama Bus Terminal ตรงเวลาเช่นเคย และ Takayama Bus Terminal นี่แหละ จะเป็นเหมือนศูนย์การเดินทางด้วยรถบัสสำหรับไปเมืองต่างๆ และสถานที่ยอดฮิต อย่าง Shirakawa-Go ก็เดินทางจากที่นี่ ใช้เวลาแค่ 50 นาที เท่านั้นเอง

ทาคายาม่า (Takayama) เป็นเมืองที่รักษาบรรยากาศและขนมธรรมเนียบประเพณีแบบเมืองเก่าแก่ไว้ได้เป็นอย่างดี มีบ้านเรือนแบบโบราณ และสภาพแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติ เหมาะกับการมาพักผ่อน

 

SORA-AMA HOSTEL ที่พักแบบนอนรวม ราคาประหยัด ไม่ไกลจากสถานีรถไฟ Takayama!

ก่อนจะมาเดินเล่นชมเมือง Takayama กัน ผมก็ขอเอากระเป๋าไปฝากไว้กับที่พักเสียก่อน ซึ่งที่พักในเมืองทาคายาม่า นี้ ผมเลือกนอนแบบนอนรวม เพราะราคาประหยัดดีครับ แถมไม่ต้องเดินไกลจากสถานีรถไฟ และ สถานีรถบัสอีกด้วย อยู่ห่างกันแค่ 300 เมตรเท่านั้นเอง ผมตั้งใจจะนอนที่นี่ 2 คืนครับ แต่มีเหตุให้นอน 3 คืนจนได้ ซึ่งจะเป็นเพราะอะไร ก็ไว้ติดตามอ่านกันต่อไปครับ 55+

บรรยากาศของห้องนอนรวม ก็จะเป็นช่องเล็กๆ มี 2 ชั้น แต่ละช่องสามารถลอดเข้าไปนอนช่องใครช่องมัน ด้านหน้ามีม่านปิดเพื่อความเป็นส่วนตัว พื้นที่ส่วนกลาง และ ห้องน้ำ มีเครื่องอำนวยความสะดวกให้อย่างครบครันครับ ที่สำคัญ คือ สะอาดมากๆ

ที่นอนก็กว้างอยู่พอสมควรครับ มีอุปกรณ์ เครื่องนอนทุกอย่างให้ครบ สะดวกสบายกว่าที่คิดเลยครับ

สามารถจองที่พัก SORA-AMA HOSTEL กับ Traveloka ได้ที่ Link นี้ได้เลยครับ คลิกที่นี่! จองง่าย จ่ายได้หลากหลายช่องทาง สะดวกดีครับ!

 

 

Miyagawa Morning Market เดินเล่นตลาดเช้ามิยากาวะ!

หลังจากฝากกระเป๋า ก็ตัวปลิวเดินเล่นได้อย่างสบายใจแล้วครับ เมืองทาคายาม่า(Takayama) ในวันนี้ อากาศดี ท้องฟ้าแจ่มใสดีมาก

ผมเดินมาที่ แม่น้ำมิยากาวะ(Miyakawa River) ที่ไหลผ่านเมืองนี้ น้ำในแม่น้ำใสมากๆ จนมองเห็นปลาที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำเลย

และ ริมแม่น้ำนี้เองจะเป็นที่ตั้งของ ตลาดเช้า Miyagawa Morning Market ครับ เป็นตลาดที่จะมีร้านค้ามาตั้งร้านขายกันตั้งแต่ช่วงเช้า 07.00 น. ไปจนถึงเกือบเที่ยงตลาดก็วายแล้วครับ สินค้าส่วนใหญ่ที่มาขายก็จะเป็นพวกผลผลิตทางการเกษตร ผัก ผลไม้ ต่างๆ

สินค้าทางการเกษตร ผัก และผลไม้ นำมาขายในราคาที่ไม่แพง

ร้านเนื้อฮิดะ เสียบไม้ย่าง ก็จะพบเห็นได้ทั่วไปเลยครับ ที่นี่.. จะขึ้นชื่อเรื่องเนื้อฮิดะมาก เป็นเนื้อที่มีความนุ่ม หอม และอร่อย ใครมาเที่ยวทาคายาม่า ก็ต้องมาลองครับ สำหรับไม้นี้ ราคา 580 เยน คิดเป็นเงินไทยก็เป็นราคาที่สูงอยู่นะ แต่.. ถ้าพูดถึงความอร่อยแล้ว จัดว่าเด็ด!

สะพานนาคะบาชิ(Nakabashi Bridge) สะพานสีแดงดูโดดเด่น เหนือ แม่น้ำมิยากาวะ(Miyakawa River) เป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญจุดหนึ่งของเมืองทาคายาม่า ที่นักท่องเที่ยวแวะเวียนมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึก

ในช่วงเวลาของใบไม้เปลี่ยนสี สะพานก็จะถูกรายล้อมไปด้วยสีสันต่างๆ และ ในช่วงที่ซากุระบาน สะพานแห่งนี้ก็เป็นจุดถ่ายรูปวิวซากุระที่สวยเช่นกันครับ

เมื่อเดินมาถึง ย่านเมืองเก่าของทาคายาม่า (Takayama Old Town) ก็เหมือนหลุดเข้าไปในอดีต ที่นี่จะพบกับอาคารบ้านไม้โบราณซึ่งสร้างมาตั้งแต่ช่วงสมัยเอโดะ และได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี

ซูชิเนื้อฮิดะ คือ สิ่งที่ต้องลองเมื่อมาเดินในย่านนี้ มีให้เลือกอยู่หลายร้านเลยทีเดียว แต่ละร้านก็มีคิวรอยาวเหมือนกันโดยเฉพาะร้านนี้คิวยาวมาก ได้ ซูชิเนื้อฮิดะ แบบ 3 คำ ราคา 1,000 เยน ส่วนรสชาติก็อร่อยสมคำร่ำลือ เนื้อนุ่ม แทบละลายในปาก

 

ร้านเนื้อฮิดะ มาเที่ยวทาคายาม่า(Takayama) แล้วต้องลอง!

มาถึงถิ่นของ เนื้อฮิดะ ทั้งที อาหารในหลายๆ มื้อ ของผมตลอดระยะเวลาที่อยู่ในเมืองนี้ก็หนีไม่พ้น เนื้อฮิดะ ซึ่งจะมีแนะนำอยู่ 2 ร้าน ครับ

 

1. Tenaga Ashinaga สารพัดเมนูจาก เนื้อฮิดะ

ร้านนี้ จะตั้งอยู่ตรงข้ามฝั่งแม่น้ำ กับ ตลาดเช้า เลยครับ มีเมนูปรุงจาก เนื้อฮิดะ ที่หลากหลายมาก ผมชอบตรงที่บริการของร้านนี้ครับ คุณลุง คุณป้า ยิ้มแย้มต้อนรับอย่างดี และพนักงานก็ดูแลเอาใจใส่ดีมากครับ ติดใจจนไปกินมา 2 ครั้งเลย..

เมนูแนะนำ ก็ต้อง เนื้อฮิดะย่างใบโฮบะ ครับ จะได้กลิ่นหอมของใบไม้ติดมากับเนื้อหน่อยๆ กินกับข้าวสวย อร่อยสุดยอดเลย อ๋อ.. ที่นี่ถ้าสั่งเป็นเซ็ต จะได้รับเครื่องดื่มฟรี 1 แก้ว เลือกอะไรก็ได้ครับ มีทั้ง น้ำอัดลม ชา เบียร์ สาเก ฯลฯ และ มีน้ำเปล่าบริการฟรีอีกด้วย! สำหรับเซ็ต เนื้อฮิดะย่างใบโฮบะ เซ็ตนี้ ราคา 1,680 เยน

ราเมงเนื้อฮิดะ ซดน้ำร้อนๆ ก็มีนะ

เซ็ต ผัดผักเนื้อฮิดะ ราคา 1,680 เยน กินกับข้าวสวยก็อร่อยดีครับ

 

ข้อมูลร้านอาหาร

  • ร้านอาหาร : Tenaga Ashinaga
  • เวลาเปิด : 11.00 น. – 15.30 น. และ 17.00 น. – 21.30 น. (ทุกวัน)
  • พิกัด : https://goo.gl/maps/UNg3gXNhBET2

 

2. Rokubee บุฟเฟ่ต์เนื้อฮิดะ

อยากลองกินเนื้อฮิดะแบบจุใจบ้าง ก็เลยมาที่ร้านนี้ครับ โดยได้รับคำแนะนำมาจากที่พักที่ได้ไปพักนั่นเอง เขาบอกมาว่าร้านนี้เด็ดจริง กินเนื้อฮิดะได้อย่างจุใจแน่นอน.. แต่ร้านนี้จะต้องเดินไกลสักหน่อย เพราะอยู่อีกฝั่งกับโซนที่พักเลย ต้องเดินข้ามสถานีรถไฟมาอีกฝั่งทางด้านตะวันตก แล้วเดินไปที่ร้านอีกราว 300 เมตร จาก สถานีรถไฟ Takayama ครับ ร้านนี้ก็แวะมากินถึง 2 รอบเช่นกัน เอาซะคุ้มเลย อิอิ!

เมนูบุฟเฟต์ จะมีราคาให้เลือกตั้งแต่ 2,000 – 5,000 เยน ต่อ คน ซึ่งจะมีชุดเริ่มต้นมาให้ก่อน ถ้าอยากทานเนื้อฮิดะ แนะนำให้เลือก ราคาตั้งแต่ 3,000 เยน ต่อ คน ขึ้นไป มีเวลาทาน 90 นาที

ผมสั่งแบบ 3,000 เยน ต่อ คน (plus 700) ก็จะมี ชุดเริ่มต้น มาให้ทานก่อนครับ(ในชุดเริ่มต้นก็มีเนื้อฮิดะมาให้ด้วยนะ) ต้องทานชุดนี้ให้หมดก่อนแล้วจึงสามารถเลือกเนื้อที่ต้องการในชุดนั้นๆ เพิ่มได้ตามสบายครับ สำหรับผม มากัน 2 คน ชุดเริ่มต้น แป้บเดียวหมดไม่มีเหลือ..

จากนั้น ชอบส่วนไหนของเนื้อฮิดะ ก็สั่งมาย่างกินสบาย เลยครับ

เนื้อฮิดะ หอม และนุ่มลิ้นมากครับ เป็นมื้อที่ฟินมากจริงๆ อิ่มจนจุกเลย.. 55+

อีกอย่าง.. ที่นี่ เขาก็มี บุฟเฟต์เบียร์ ด้วยนะครับ 1,500 เยน ต่อ คน 90 นาที เช่นเดียวกันครับ!

ข้อมูลร้านอาหาร

 

Hida Furukawa” ตามรอยหนัง Yourname และ คลองปลาคราฟ!

จุดประสงค์ของการแวะไป เมือง Hida Furukawa ก็เพราะอยากไปดู คลองปลาคราฟ ครับ ซึ่งจากที่ลองดูตารางรถไฟ ก็เห็นว่า ใช้เวลาเดินทางจาก สถานี Takayama ประมาณ 15 นาทีเท่านั้น ดูน่าสนใจดี ไปนั่งรถไฟชมวิวเล่นๆ สักหน่อย

ระหว่างทางจาก Takayama มา Hida Furukawa วิวทิวทัศน์สองข้างทางสวยมาก และ ดูสงบเงียบดีมากเลยครับ ใช้เวลาเดินทางไม่นาน ก็มาถึง สถานีรถไฟ Hida Furukawa ซึ่งถ้าใครเป็นแฟนหนังอนิเมะชื่อดังอย่าง เรื่อง Yourmane คงจะคุ้นเคยกับหลายๆ โลเคชั่นในเมืองนี้ครับ

และ มุมยอดฮิต สำหรับคนมาตามรอยหนัง Yourname ก็ต้องเป็นมุมนี้ครับ สามารถเดินขึ้นไปถ่ายบนสะพานลอยข้ามทางรถไฟ ที่อยู่นอกตัวสถานี

จาก สถานีรถไฟ Hida Furukawa เดินไป คลองปลาคราฟ ประมาณ 5 นาที ก็ถึงแล้วครับ เป็นคลองสายเล็กๆ เลียบไปกับบ้านไม้โบราณ ในคลองมีปลาคราฟจำนวนมากแหวกว่ายอยู่

บรรยากาศในเมืองนี้ดูสงบเงียบดีมากๆ สามารถเดินเล่นดูปลาคราฟได้ตลอดทั้งแนวคลองเลยครับ

น้ำในคลอง ใส และสะอาด ได้รับดูแลอย่างดี และ ในช่วงหน้าหนาว ปลาคราฟจะถูกนำไปเก็บไว้ที่อื่นก่อนครับ เพราะสภาพอากาศหนาว ซึ่งถ้าใครไปเที่ยวช่วงหน้าหนาวก็อาจจะไม่เห็นปลาคราฟในคลองนะครับ

ใบไม้เปลี่ยนสี สีส้มแดงสดใส ริมคลองปลาคราฟ

ต้นแปะก๊วย ต้นใหญ่ บริเวณใกล้กับคลองปลาคราฟ ที่ขณะนี้ใบเหลืองอร่ามไปทั้งต้น

ผมใช้เวลาเดินเล่นอยู่ในเมือง Hida Furukawa อยู่พอสมควร ก็นั่งรถไฟกลับไปยัง Takayama ตามเดิมครับ

 

Kamikochi” ในวันฝนพรำ!

เช้านี้.. ฝนตก! ทำให้แผนที่วางเอาไว้คลาดเคลื่อนไปพอสมควร จากที่ผมวางแผนว่า.. ช่วงเช้าจะไปเที่ยว Kamikochi และ ช่วงบ่ายไปขึ้นกระเช้าชมวิว ที่ Shin Hotaka เป็นอันต้องมานั่งคิดใหม่ ว่าจะเอายังไงดี? ยืนมองฝนอยู่หน้าโรงแรม และพยายามคิดว่าจะเปลี่ยนแผนไปที่ไหนก่อนได้ แต่ดูเหมือนว่า.. สภาพฝนตกอย่างนี้ ไปที่ไหนก็คงเหมือนๆ กัน ก็เลยตัดสินใจว่า.. ไป Kamikochi เลยล่ะกัน

เดินลุยฝนไปที่ Takayama Bus Terminal เพื่อนั่งรถบัสไปลงที่ Hirayu Onsen เส้นทางนี้สามารถใช้พาส SHORYUDO Bus Pass ได้ โดยไม่ต้องจองที่นั่ง โชว์พาสแล้วขึ้นรถได้เลยครับ

เมื่อลงรถบัสที่ Hirayu Onsen แล้ว ก็ต้องไปซื้อตั๋วไป Kamikochi ครับ ตั๋วแบบไป-กลับ ราคา 2,050 เยน แนะนำให้ซื้อแบบไป-กลับ จะสะดวกกว่าครับ มีรถออกทุก 30 นาที ใช้เวลาเดินทางประมาณ 15 นาที (แนะนำให้ลงป้ายแรก Taisho Ike ก่อน แล้วเดินย้อนขึ้นไปครับ)

บริเวณที่เรียกว่า บึงไทโช (Taisho Pond) เป็นจุดแรกหลังจากที่ลงรถบัสมาครับ จากนี้ จะต้องเดินย้อนขึ้นไปยัง สะพานคัปปาบาชิ(Kappa Bridge) จุดแลนด์มาร์คของที่นี่ และ เป็นจุดนั่งรถกลับไปยัง Hirayu Onsen ครับ ซึ่งระยะทางที่ต้องเดินก็ราว 3 กิโลเมตรครับ

สภาพอากาศในวันนี้ ค่อนข้างผิดหวังเล็กน้อยครับ เพราะมีฝนพรำมาตลอดเวลา แต่ก็ได้บรรยากาศที่สวยงามไปอีกแบบ

ระหว่างทางที่เดินเลียบแม่น้ำไปครับ บรรยากาศสองข้างทางก็ดูสวยงามแปลกตาจนต้องหยุดถ่ายภาพเป็นระยะ

เดินเล่นไปเพลินๆ ชมวิวสองข้างทางไปเรื่อยๆ ครับ

ได้รับความชุ่มฉ่ำจากสายฝน อย่างเต็มที่เลยทีเดียว..

เดินมาไม่นานก็มาถึง บึงทาชิโระ(Tashiro Pond) เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ และจุดชมธรรมชาติที่สวยงามแห่งหนึ่งของที่นี่

บรรยากาศรอบบึงก็ดูสงบเงียบดี รายล้อมด้วยธรรมชาติ และสายหมอก

เดินเลียบไปตาม แม่น้ำอาซุสะ(Azusa River) น้ำใสมากครับ เสียดายที่วันนี้ไม่มีแดด ไม่งั้นจะเห็นสีน้ำที่สวยงามกว่านี้แน่นอนครับ

ช่วงนี้ ถือว่าเป็นช่วงท้ายของใบไม้เปลี่ยนสีแล้ว ต้นไม้หลายๆ ต้นก็ได้ร่วงหล่น รอต้อนรับหน้าหนาวที่จะเข้ามาแทนที่ ซึ่งที่ Kamikochi ก็จะปิดในช่วงหน้าหนาว ตั้งแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน ยาวไปจนถึง ช่วงกลางเดือนเมษายน ช่วงที่ผมมานี้ จึงเป็นช่วงสุดท้ายของการเปิดบริการแล้วครับ

ระยะทาง 3 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินเล่น ถ่ายรูปเล่น ไม่เกิน 2 ชั่วโมง ก็มาถึง สะพานคัปปาบาชิ(Kappa Bridge) ซึ่งวิวที่สะพานนี้ จะสามารถมองเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามของแนวเทือกเขา และสายน้ำ เป็นจุดชมวิวที่สวยงามไฮไลท์ของที่นี่เลย ก็อย่างว่าครับ.. ฝนตก 555+ ก็เลยมองเห็นได้แค่นี้…

วันนี้.. ก็เลยเป็นวันที่ฝนพรำทั้งวัน สุดท้าย.. ผมก็เลยตัดสินใจนั่งรถบัสกลับที่พักที่ Takayama ก่อนครับ ทั้งเปียกและหนาว เกรงว่าตะลอนอยู่ข้างนอกแบบนี้จะไม่สบายเอา สรุป.. วันนี้ทั้งวัน หมดไปกับ Kamikochi และ สายฝน ไว้ว่ากันใหม่ในวันต่อไป!

 

Shinhotaka Ropeway ขึ้นกระเช้าไปชมวิวเจแปนแอลป์!

เช้าวันใหม่.. ฟ้าเป็นใจ อากาศแจ่มใสดีมาก เหมาะที่จะไปขึ้นกระเช้าชมวิว โดยจะเดินทางไปที่ Shinhotaka Ropeway เริ่มต้นออกเดินทางที่ Takayama Bus Terminal นั่งรถบัสยาวๆ ไปลงปลายทางที่ Shinhotaka Ropeway เส้นทางนี้สามารถใช้พาส SHORYUDO Bus Pass ได้ โดยไม่ต้องจองที่นั่ง โชว์พาสแล้วขึ้นรถได้เลยครับ

ใช้เวลาในการเดินทาง 1 ชั่วโมง 45 นาที ก็มาถึง สถานีขึ้นกระเช้า Shinhotaka Ropeway

มาถึงก็ต้องซื้อตั๋วขึ้นกระเช้ากันก่อนครับ ราคาไป-กลับ 2,800 เยน แต่ถ้าโชว์ SHORYUDO Bus Pass ก็จะมีส่วนลดด้วยนะครับ เหลือ 2,300 เยน ประหยัดไปได้อีกหน่อยครับ

สีสันของใบไม้เปลี่ยนสี บริเวณโดยรอบ

กระเช้าที่ขึ้นจะแบ่งออกเป็น 2 ช่วง ออกทุก 30 นาที กระเช้าจะค่อยๆ พาไต่ระดับสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ในบางช่วงก็ต้องผ่านเมฆหมอกบ้าง

พอกระเช้าขึ้นมาได้ระดับ ก็จะมองเห็นแนวเทือกเขาเจแปนแอลป์กันแล้ว

อากาศดี ท้องฟ้าสดใส วิวสวยมากเลย สำหรับที่นี่ก็จะมีความสวยงามแตกต่างกันไปตามฤดูกาลครับ เช่น ในช่วงหิมะปกคลุม ก็จะได้เห็นความสวยงามไปอีกแบบ

เมื่อถึงสถานีของกระเช้าที่อยู่สูงสุด ก็สามารถขึ้นไปบนจุดชมวิวบนสถานีได้ สามารถมองเห็นทิวทัศน์ได้โดยรอบครับ

วิวบนนี้สวยงามมากๆ เลย..

มาอยู่ที่ระดับความสูง 2,156 เมตร

มองไกลๆ จะเห็นยอดเขาที่เริ่มถูกปกคลุมด้วยหิมะแล้ว

หลังจากขึ้นไปชมวิวเป็นที่เรียบร้อย ก็นั่งรถบัสกลับเข้า Takayama ครับ ตามแผนเมื่อกลับถึง Takayama แล้ว ก็จะนั่งรถบัสยาวไป เมือง Kanazawa และจะไปนอนที่นั่น 1 คืนครับ แต่เพราะดูรอบรถไม่ดี .. ทำให้ต้องพลาดรถเที่ยวสุดท้าย จาก Takayama ไป Kanazawa จนได้ ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ต้องพักค้างที่ Takayama เพิ่มอีกคืน!

 

Shirakawa-Go หมู่บ้านโบราณในวันที่ใบไม้เปลี่ยนสี!

เนื่องจากพลาดรถจนทำให้แผนเปลี่ยน วันนี้ทุกอย่างก็อาจจะดูรวบรัดสักหน่อย โดย ช่วงเช้า ผมจะเดินทางไป Shirakawa-Go และ ช่วงบ่าย จะแวะไป Kanazawa ก่อนที่ช่วงเย็นจะนั่งรถบัสกลับเข้าเมือง Nagoya เป็นวันสุดท้ายของการใช้ SHORYUDO Bus Pass พอดี

ผมเริ่มต้นเดินทางไป Shirakawa-Go ที่ Takayama Bus Terminal เส้นทางนี้สามารถใช้พาส SHORYUDO Bus Pass ได้ โดยทีทั้งเที่ยวรถที่ต้องจองที่นั่ง และเที่ยวรถที่ไม่ต้องจองที่นั่ง โชว์พาสแล้วขึ้นรถได้เลย ซึ่งแผนเปลี่ยนแบบกะทันหันอย่างนี้ จึงต้องเลือกเที่ยวรถแบบไม่ต้องจองที่นั่ง รถออก เวลา 08.50 น. ใช้เวลาเดินทาง 50 นาที

เมื่อเดินทางมาถึง สถานีรถบัส Shirakawa-Go ก็ต้องเอากระเป๋าไปฝากก่อนครับ มีบริการรับฝากกระเป๋าอยู่ และ ก็จองที่นั่งรถบัส สำหรับไป – กลับ Kanazawa ในช่วงบ่ายด้วย สามารถโชว์พาส SHORYUDO Bus Pass กับเจ้าหน้าที่เพื่อออกตั๋วได้เลย

ผมใช้บริการรถ รับ-ส่ง เพื่อขึ้นไปยัง จุดชมวิว หมู่บ้าน Shirakawa-Go ใน ราคาเที่ยวละ 200 เยน ซึ่งก็ช่วยให้ประหยัดเวลาดีครับ

จุดชมวิว หมู่บ้าน Shirakawa-Go ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว ที่แวะเวียนขึ้นมาชมวิวทิวทัศน์ของหมู่บ้านอย่างไม่ขาดสาย

 

หมู่บ้าน Shirakawa-Go เป็นหมู่บ้านเล็กๆ กลางหุบเขาโอบล้อมไปด้วยธรรมชาติ ได้รับการยกย่องให้เป็นมกดกโลก ในปี ค.ศ. 1995 เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม ที่สามารถมาเที่ยวได้ทุกฤดูกาล ซึ่งจะได้พบกับความสวยงามที่แตกต่างกันไปครับ

ช่วงนี้ เป็นช่วงของใบไม้เปลี่ยนสี อากาศก็จะสบายๆ ครับ

ลักษณะโดดเด่นของบ้านที่นี่ จะเป็นสไตล์ กัสโซ-สึคุริ คำว่า “กัสโซ” แปลว่า “พนมมือ” เนื่องจากหลังคาบ้านมีลักษณะคล้ายมือ 2 มือพนมเข้าหากัน มีความชันของหลังคา 60 องศา เพราะเวลาหิมะตกลงบนหลังคาบ้าน จะได้ไหลลงมาง่าย ๆ ไม่ทับถมจนเกินไป..

เดินเล่นชมบรรยากาศรอบ หมู่บ้าน Shirakawago

บ้านสไตล์กัสโซ-สึคุริ กับ ใบไม้เปลี่ยนสี

ภายใน หมู่บ้าน Shirakawa-Go ก็จะมีมุมให้เดินเล่น ถ่ายรูปเล่นได้ตามจุดต่างๆ ใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง ก็เดินได้จนทั่วแล้วครับ

จากนั้น ผมก็กลับมารอที่ สถานีรถบัส Shirakawa-Go เพื่อเดินทางต่อไปยัง Kanazawa ในช่วงบ่ายนี้ แม้จะมีเวลาไม่มากนัก แต่ไหนๆ มาแล้ว ไปเยือนสักหน่อยก็ดีเนอะ!

ซื้อออนไลน์ ทัวร์เมืองทาคายาม่าและหมู่บ้านชิราคาวาโกะจากนาโกย่า ได้ที่นี่!

 

Kanazawa แวะชิมอาหารทะเลสดๆ ที่ตลาดปลา!

จาก สถานีรถบัส Shirakawa-Go ผมนั่งรถบัสไปยัง Kanazawa เส้นทางนี้สามารถใช้พาส SHORYUDO Bus Pass ได้ แต่ต้องจองที่นั่งก่อน สามารถจองที่นั่งได้ที่ สถานีรถบัส Shirakawa-Go เพื่อความสะดวกผมก็จองไว้ แบบ ไป – กลับ เลย ซึ่งผมต้องกลับมาที่ Shirakawa-Go อีกครั้งในช่วงเย็นเพื่อ ต่อรถบัสกลับไปยัง Nagoya ครับ

ระหว่างทาง จาก Shirakawa-Go ไป Kanazawa วิวสองข้างทางสวยมากครับ ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ ชั่วโมงกว่า

มาถึงที่ Kanazawa ก็ต้องสะดุดตากับ สถาปัตยกรรมสวยๆ อย่าง Omotenashi Dome โดมแก้วที่จำลองมาจากร่มกันฝน และ Tsuzumi Gate ที่จำลองมาจากกลองที่ใช้ในการแสดงดั้งเดิมของญี่ปุ่น

สีสันของใบไม้เปลี่ยนสีของเมืองนี้ก็มีให้ชม

เวลาสำหรับเมืองนี้ ค่อนข้างมีน้อยครับ เป้าหมายในตอนนี้ จึงเหลือแค่เพียง ตลาดปลา Ohmi-cho Market เท่านั้น หิวแล้ว 55+ เดินจาก สถานีรถไฟ Kanazawa ประมาณ 800 เมตร

Ohmi-cho Market (ตลาดปลาโอมิโจ) บรรยากาศคึกคักไปด้วยผู้คน มีอาหารทะเลสดๆ มากมายให้เลือกซื้อ

Kanazawa เป็นเมืองที่อยู่ติดกับทะเล อาหารทะเล กุ้ง หอย ปู ปลา ต่างๆ ที่ชาวประมงจับได้ ก็ถูกส่งมาที่นี่ รับรองว่าสดแน่นอน..

อาหารทะเลบางอย่างสามารถ ซื้อ และ ยืนกินสดๆ ที่หน้าร้านได้เลย

ข้าวหน้าทะเลสด คือ อาหารเที่ยงของผมที่ Kanazawa เป็นอีกหนึ่งมื้อที่อร่อยมาก อาหารทะเลสดทุกอย่าง เข้ากันได้อย่างดี ไม่มีกลิ่นคาว และก็ราคาไม่แพงด้วยครับ

หลังจากนั้น ก็มีเวลาเดินเล่นให้อาหารย่อย ในเมือง Kanazawa อีกนิด ก่อนจะนั่งรถบัสกลับไปยัง Shirakawa-Go ครับ

Kanazawa ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจอีกมากมาย เช่น Kenroku-en (สวนเค็นโรคุเอ็น), Higashi Chaya District (ย่านฮิกาชิชายะ), 21st Century Museum of Contemporary Art (พิพิธภัณฑ์ศิลปะศตวรรษที่ 21) เป็นต้น ซึ่งมีโอกาสต้องตามมาเก็บตกแน่นอนครับ

 

Shirakawa-Go กลับสู่ Nagoya!

กลับมาถึง Shirakawa-Go ก็เป็นช่วงเวลาเย็นแล้วครับ ผมมารับกระเป๋าที่ฝากเอาไว้เมื่อตอนเช้า และก็จะนั่งรถบัสกลับ Nagoya จากที่นี่เลยครับ เที่ยวสุดท้าย เวลา 16.30 น. เส้นทางนี้สามารถใช้พาส SHORYUDO Bus Pass ได้ แต่ต้องจองที่นั่งก่อน สำหรับใครที่อยากมาเที่ยว Shirakawa-Go ก็สามารถนั่งตรงมาจาก Nagoya ได้เลย ครับ

ยามเย็น บรรยากาศบริเวณ สถานีรถบัส ที่ Shirakawa-Go ค่อนข้างจะเงียบเหงาหน่อยครับ รถบัสจะออก เวลา 16.30 น. และ จะไปถึงปลายทาง Meitetsu Bus Center Nagoya เวลา 19.19 น. วันนี้ จึงเป็นวันสุดท้าย ครบ 5 วัน ของการใช้ พาส SHORYUDO Bus Pass พอดี ก็นับว่าเป็นการเดินทางที่คุ้มค่าครับ

 

ซาโยนาระ.. Nagoya!

วันสุดท้ายของทริปนี้ ผมพอมีเวลาช่วงเช้าที่พอจะเก็บตกเที่ยวในย่านเมืองนาโกย่าได้ แต่ฟ้าฝนก็ไม่เป็นใจอีกตามเคย โปรยปรายมาตั้งแต่เช้า ทำได้แค่นั่งๆ นอนๆ อยู่ที่โรงแรม จนเวลาล่วงเลยไปจนไม่น่าจะไปเที่ยวที่ไหนได้แล้ว.. ก็ตัดสินใจไปสนามบินดีกว่าครับ 55+ ซึ่งก็ต้องเดินลุยฝนเพื่อไปยังสถานีรถไฟ และนั่งรถไฟต่อไปสนามบิน

ท่าอากาศยานนานาชาติชูบุเซ็นแทรร์ (NGO) เมืองนาโกย่า จะมีจุดชมเครื่องบินด้วยนะครับ

หลังจากเช็คอิน โหลดสัมภาระเรียบร้อย มีเวลาเหลือ ก็มาเดินเล่นชมวิวที่ข้างบนนี้ได้เลย

มองเห็น เครื่องบิน ของ สายการบินแอร์เอเชียเอ็กซ์ ที่จะพาผมกลับประเทศไทย ด้วยครับ!

และแล้ว.. ก็ถึงเวลาที่ต้องเดินทางกลับแล้วครับ ในระยะเวลา 8 วัน ก็ได้ไปเที่ยวในหลายสถานที่ ทั้ง Takayama, Matsumoto, Kanazawa หรือ สถานที่ยอดฮิตเมืองมรดกโลก อย่าง Shirakawa-Go แม้ว่า.. บางที่ บางวัน ฟ้าฝนอาจจะไม่เป็นใจก็ตาม 55+ และ ได้ลองชิมของดี ของอร่อย ของแต่ละเมือง ทริปนี้.. จึงเป็นอีกทริปที่ประทับใจมากครับ!

มาเที่ยว “นาโกย่า” ในครั้งนี้ ก็ช่วยเปิดประสบการณ์การท่องเที่ยวของผมเพิ่มขึ้นมาอีกเยอะเลย ใครสนใจจะไปเที่ยว ก็รีบจองตั๋วไปเที่ยวได้เลยนะครับ!

 

สำหรับเพื่อนๆ ที่สนใจไปเที่ยว “ญี่ปุ่น” ไม่ว่าจะเป็นเมืองไหนในญี่ปุ่น สามารถเข้าไปจองกิจกรรมต่างๆ เช่น บัตรเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยว, บัตรสวนสนุก, ตั๋วรถบัส ฯลฯ ก็สามารถจอง และเลือกซื้อผ่าน เมนูกิจกรรม ของ Traveloka ได้เลยนะครับ ตาม Link นี้ คลิกที่นี่!

 

แล้ว.. เจอกัน ทริปหน้าครับ!

 


การท่องเที่ยวเชิงไฉไล | CHAILAIBACKPACKER

Fanpage : https://www.facebook.com/chailaibackpacker
Instagram : CHAILAIBACKPACKER
Twitter : @chailaibackpack / goo.gl/VIBXC9
E-mail : chailaibackpacker@gmail.com
Website : www.chailaibackpacker.com