เมื่อ 3 สหาย.. พาข้ามมหาสมุทรไปเที่ยวไกลกันถึงประเทศ “ศรีลังกา”
ทริปนี้ ไฉไลแบ็คแพ็คเกอร์ จะพาข้ามมหาสมุทรที่ กันที่ “ประเทศศรีลังกา” ครับ..พี่น้อง..!! ต้องขอบอกก่อนเลยว่า เรามีเวลาในทริปนี้ 4 วัน 3 คืนเท่านั้น อาจจะเก็บรายละเอียดได้ไม่มากเท่าไหร่ ไปเปิดหูเปิดตา ดูวัฒนธรรมท้องถิ่นไปเรื่อยๆ ตามประสาคนงบน้อยนะครับ..>< ทริปนี้ก็เป็นทริปที่แบกเป้ลุยกันเองครับ..หลังจากที่หางแดงเปิดรูทนี้ยังไม่ถึงเดือนครับ.. (ปัจจุบันรูทนี้ หางแดงจากไทยไปศรีลังกา ไม่มีแล้วนะครับ น่าเสียดายมาก..เปิดได้ไม่นานต้องยกเลิกไป) ว่าแล้ว…ก็เก็บกระเป๋าออกไปลุยกันดีกว่าครับ…!!
โปรแกรมของเรา ก็คือ
วันแรก เราทัวร์ เมืองแคนดี้ครับ ไปวัดพระเขี้ยวแก้ว ตอนเย็นจะนั่งรถไปที่ Dambulla ครับ
วันที่สอง วันนี้ออกไปเที่ยว Sikiriya บ่ายๆ..นั่งรถกลับเข้าแคนดี้ นอนที่แคนดี้(จองที่พัก Olde ไว้แล้ว)
วันที่สาม ออกแต่เช้า นั่งรถไฟ จาก Kandy ไป Colombo ครับ สายๆ เที่ยว ใน Colombo บ่ายๆ นั่งรถไฟสายชานเมือง ไป Negombo นอนที่นั่น(จองจากไทยไว้ก่อนแล้วครับ เพื่อขอวีซ่า)
วันที่สี่ เช้าออกจาก Negombo ไปสนามบินครับ..
เราเริ่มต้นการออกเดินทางที่สนามบินสุวรรณภูมิครับ..ออกเดินทางกัน. ช่วงที่หางแดงเปิดรูทสู่เมืองโคลอมโบได้ตั๋วมาไป-กลับในราคา 2900 บาทครับ.. ก็ถือว่าคุ้มค่าและก็รอไม่นานครับ..ออกเดินทางกันครับ…!!
ทริปนี้มีผู้ร่วมเดินทางทั้งหมด 3 คนครับ..ทำการเช็คอินกันเรียบร้อยครับ..พร้อมออกเดินทางได้แล้วครับ!!
ไม่ลืมที่จะแลกเงินเป็น USD ไว้ไปใช้ครับ..
จากนั้นเข้ามาที่เกทครับ…รู้สึกว่าวันนี้จะมาถึงสนามบินเร็วกันมากๆ เลยเข้ามาแอบนอนงีบ พักผ่อนก่อนออกเดินทางสักหน่อยครับ..^^
G5 FD3880 ไฟล์ทของเรา
จากนั้นก็ได้เวลาเดินทางสู่โคลอมโบ ประเทศศรีลังกา แล้วครับ.. ผู้โดยสารในเที่ยวบินนี้ดูบางตามากครับ ไม่เยอะอย่างที่คิดไว้ครับ.. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงก็จะถึงจุดหมายปลายทาง.. ท้องฟ้าวันนี้สดใสมาก…^^
รู้สึกหิวๆ…เลยสั่งอาหารทานครับ..ขอทานให้เสร็จบนเครื่องเลยล่ะกัน เพราะยังไม่แน่ใจเรื่องข้าวปลา อาหารที่ศรีลังกาครับ..ด้วยข้อมูลที่มีอยู่ในมืออันน้อยนิด ก็ค่อยๆ..คลำทางไปเรื่อยๆ ครับ เมนูเช้านี้ ข้าวแกงเขียวหวาน..^^
ทานเสร็จ ก็นอนงีบสักพัก แอร์สาวก็จะมาเดินแจก..ใบกรอกเข้าเมืองครับ.. อายุบวร = สวัสดี …
เดินทางมาถึงศรีลังกาแล้วครับ…มองลงไปเห็นแผ่นดินศรีลังกาแล้ว.. “ศรีลังกาเป็นเกาะในมหาสมุทรอินเดีย ห่างจากตอนใต้ของอินเดียประมาณ 80 กิโลเมตร มีรูปร่างคล้าย หยดน้ำ มีพื้นที่ 65,610 ตารางกิโลเมตร หรือเล็กกว่าประเทศไทยประมาณ 8 เท่า”
ระหว่างที่ใกล้ที่จะแลนดิ้ง.. แอร์มีการฉีดสเปรย์บางอย่างบนเครื่องด้วยครับ..
อายุบวร = สวัสดีศรีลังกา
เดินทางมาถึงศรีลังกาเป็นที่เรียบร้อย ^^
ตอนนี้ยังไม่มีแผนการเดินทางตายตัวเลยครับ.. ยังสามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา…ฮ่าๆ
จัดการแลกเงินเป็นรูปีครับ…ก็เลยคิดกันง่ายๆ เลย เวลาซื้อของอะไรก็หาร 4 เลยจำง่ายดี.. เช่น ค่ารถ 100 รูปี หาร 4 ก็เท่ากับ 25 บาท (2012)
ที่สนามบินจะมีตู้ Infomation ไว้บริการด้วยครับ..ให้นักท่องเที่ยวหาข้อมูล..
เดินออกมาตรงทางออก 2 แล้วเลี้ยวซ้าย จะเห็นที่จอดรถ shuttle bus ครับ ระหว่างที่เดินมาถึงรถก็กำลังเข้ามาจอดพอดีครับ หน้าตารถก็จะเป็นประมาณรถเมล์ร้อนบ้านเราครับ รู้สึกคนเต็มก็ออก รอไม่นานครับ
อากาศที่ ศรีลังกา ช่วงนี้ร้อนไม่เบาเลยครับ.. นั่งรอสักพักพอคนเต็มก็ออกครับ..
สภาพบรรยากาศบนรถเต็มไปด้วยพี่น้องชาวศรีลังกา.. บ้างก็หน้าดุๆ แต่ก็ใจดีนะครับ…
รถ shuttle bus จะบริการฟรีครับ และก็วิ่งเส้นทาง สนามบิน กับ สถานีขนส่งครับ..วิ่งประมาณ 20 นาที ก็มาถึงสถานีคนส่งครับ..เราจะมาหารถเมล์นั่งไปที่ Kandy ก่อนล่ะกันครับ..
อยู่ที่สถานีคนส่งก็ถามคนแถวๆนั้นว่าจะไป Kandy ต้องไปขึ้นตรงไหน คันไหน ก็เข้าใจกันบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง ต่างคนก็ต่าง งง.. ก็เลยเดินมาดูรถที่จอดอยู่เรียงราย แล้วอาศัยดูป้ายเอาว่าจะไปเมืองไหน มาเจอรถที่จะไป แคนดี้ แล้วครับ.. แต่ดูจากบรรยากาศที่คนอัดแน่นเต็มคันรถ ภาพของการแออัดบนรถโดยสารเมืองแขกที่เราเห็นบ่อยๆ ในอินเตอร์เนต ลอยเข้ามาในหัวเลยครับ..จะทำยังไงดี กับการเดินทางไปแคนดี้ ที่ต้องใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมง จะรอคันต่อไป ก็อีกนานมาก กว่าจะออก.. กระเป๋ารถก็มาเรียกขึ้น..หลายรอบแล้ว.. สุดท้ายรถจะออก ก็ตัดสินใจวิ่งขึ้นรถล่ะครับ..อย่างนี้มันต้องลอง!!
ตอนนี้ เริ่มเดินทางออกกันมาแล้ว มุ่งสู่เมืองแคนดี้…ได้ยืนเป็นที่แน่นอนอยู่แล้วครับ…ส่วนเบาะที่นั่งเต็มเอี๊ยด..เบียดเสียดกันพอประมาณครับ..กระเป๋ารถก็ใจดีกวักมือให้ผู้โดยสารที่เป็นผู้หญิง ให้ลุกเพื่อที่จะให้เราไปนั่งครับ..เราก็งงๆ..กระเป๋ารถก็พยักหน้า จะให้ผู้หญิงมายืนแล้วให้เราไปนั่งแทนครับ..ใครจะไปทำอย่างนั้นล่ะครับ…เราขอปฏิเสธครับ ขอยืนไปดีกว่า..^^
กระเป๋ารถเมล์ที่นี่ทันสมัยดีนะครับ..เก็บเงินแล้วมีใบเสร็จพิมพ์ออกมาเรียบร้อย..ขึ้นจากที่ไหน ไปลงที่ไหน ราคาเท่าไร…ไม่ธรรมดานะครับเนี่ย.. เราไปลงที่ แคนดี้ครับ..ราคาประมาณ 30 บาท ครับ..ประหยัดดีเดินทางตั้ง 3 ชั่วโมงกว่า.
รถทุกชนิดที่นี่ขับเร็วยังกับจรวด..ขับซิ่งกันมาก..คนเยอะๆ ซิ่งไปที เอนซ้าย เอนขวา..ลุ้นระทึกกันดีแท้ๆ..ตอนนี้ปัญหาอย่างเดียวคือ อากาศที่ร้อนมากๆครับ..กับอาการหิวที่เริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆแล้วครับ…และก็ ยืนนาน ปวดขาครับ..–”
ระหว่างเดินทางก็จะมีพ่อค้า แม่ค้า ขึ้นมาขายของกันเป็นระยะครับ เบียดเสียดทั้งซื้อ ทั้งขาย ตะโกนขายกันในรถเมล์ ได้อารมณ์ดีแท้ๆ…ทั้งน้ำดื่มนานาชนิด ข้าวโพดต้ม ขนมต่างๆ..หิวมากครับ แต่ยังไม่กล้าซื้อกินเท่าไร ก็เลือกซื้อน้ำเปล่าแค่อย่างเดียวก่อนครับ…คนก็เริ่มทยอยลงเรื่อยๆ ระหว่างทาง ก็ได้นั่งบ้าง ผลัดกันยืน ผลัดกันนั่ง..แต่แปลกใจเวลาลงรถ ทำไมต้องมาลงประตูหน้ากันน่ะสิครับ..นั่งอยู่เบาะหลังสุด ยังเดินเบียดเพื่อมาลงประตูหน้า..
เดินทางมาถึงสถานีรถโดยสารที่ Kandy แล้วครับ จะดูวุ่นวายมาก.. สถานีรถ จะอยู่ใกล้ๆ กับสถานีรถไฟครับ..
เข้ามาชมบรรยากาศในสถานีรถไฟครับ..
เดินขึ้นไปชั้นสอง จะมีร้านขายอาหารอยู่ครับ..แต่ดูจากสุขลักษณะแล้ว ยังไม่ค่อยอยากที่จะเอาท้องไส้ไปเสี่ยงครับ.. มองไปเห็นโต๊ะข้างๆทานข้าว โดยใช้มือ ครับ..เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าวัฒนธรรมที่นี่ทานมือกันครับ..^^ ก็เลยสั่งขนมปังมาแก้หิว สักชิ้นสองชิ้นกันก่อน..
เริ่มต้นวางแผนการเดินทาง..และมานั่งพักผ่อนไปในตัวด้วย เนื่องจากยืนกันมานานครับ..ฮ่าๆ
หน้าตาเงินรูปีที่จะใช้สอยกันในศรีลังกาครับ
ลงไปซื้อตั๋วเอาไว้ครับ…จาก Kandy ไป Colombo ราคาประมาณ 200 บาท ครับ..เป็นรถไฟชั้นหนึ่ง แอร์เย็นสบาย.. ตอนแรกคิดจะซื้อชั้น 3 เหมือนกันครับ ถูกกว่านี้ มากๆ…แต่ก็กลัวสภาพแออัด เกินไปครับ เพราะเห็นๆ รถไฟชั้น 3 กันบ้างแล้ว คิดว่า ไปแออัดแบบนั้น นานๆ คงไม่ไหวล่ะครับ..
พักผ่อนกันพอหายเหนื่อยกันแล้ว ก็ลุยต่อครับ.. เราจะไป วัดพระเขี้ยวแก้ว กันครับ..เดินทางจากสถานีรถไฟไปประมาณ 800 เมตร ก็กางแผนที่เดินคลำทางกันไปครับ.. พร้อมออกลุยเมืองแคนดี้แล้ว!!
รถเยอะ คนก็เยอะครับ ในเมืองแคนดี้…
เดินกันอย่างเดียวครับ ไม่ไกลเกินไป แต่อากาศมันร้อนๆ เท่านั้นเองครับ..
เดินมาสักพักจะเห็น รู้สึกจะเป็นหอนาฬิกา เมืองแคนดี้…กับบรรยากาศสภาพการจราจรอันวุ่นวาย…
เดินมาจนถึงย่านใจกลางแคนดี้ เห็นร้านอาหารน่าเข้าไปนั่ง ท้องก็ร้องหิวๆ ขนมปังจากสถานีรถไฟไม่ได้ช่วยอะไรเลย…ขอเข้าไปนั่งหาอะไรทานสักหน่อยจะดีกว่า ดูจากร้านแล้วสะอาด ปลอดภัยแน่นอน(?) ร้าน ไวท์เฮ้าท์…ร้านนี้จะขายอาหารหลากหลาย ทั้งเบเกอรี่ อาหารหวานคาวต่างๆ..เครื่องดื่ม…แต่น้ำเปล่านี่กลิ่นคลอรีนยังกับน้ำในสระว่ายน้ำ.. 55+ สั่งน้ำอย่างอื่นก็หนีไม่พ้น น้ำส้มก็ยังมีกลิ่นคลอรีน กลิ่นขึ้นจมูกเลยเชียว..อยากกินข้าวมาก อยากกินข้าวสวยร้อนๆ…เลยสั่งข้าวห่อมา ใส่กับข้าวต่างๆ มิกซ์กันลงมาในจานเดียว… เข้าเมืองตาหลิ่ว ก็ต้องหลิ่วตาตาม..จัดการโซ้ยกันเลยครับ…^^
สุดท้าย ขอเป็นช้อนดีกว่าครับ น่าจะสะดวกกว่า ฮ่าๆ…
อิ่มท้องแล้วก็เดินออกไป วัดพระเขี้ยวแก้วกันต่อครับ..
เห็น Kandy Lake แล้ว…ใกล้จะถึงวัดพระเขี้ยวแก้วแล้วครับ..
มาถึงทางเข้าวัดพระเขี้ยวแก้วแล้วครับ..
ด้านข้างวัดพระเขี้ยวแก้ว จะมีบริษัททัวร์ ธนาคาร และ โรงแรมต่างๆ เรียงรายกันอยู่ครับ..
เนื่องจากโปรแกรมวันที่สอง เราต้องกลับมานอนที่ Kandy เลยหา โรงแรม ที่อยู่แถวๆ วัดพระเขี้ยวแก้ว ครับ..จากข้อมูลที่ได้มา มี โรงแรม Olde Empire อยู่ใกล้ๆ ครับ ราคาประหยัด หาไม่ยาก..เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวงบน้อย เลยขอเข้าไปจอง เอาไว้ก่อนครับ..และเผื่อจะได้ฝากกระเป๋าด้วย..ในขณะที่เราเข้าไปในวัด..
ก็จัดการจองเรียบร้อยครับ.. ราคาประหยัด 3 เตียง 300 บาทไทย.. คนละร้อย ห้องน้ำรวม อยู่ติดวัดด้วย..ก็โอเคครับ
จากนั้นก็ได้เวลาเข้าไปสักการะ พระเขี้ยวแก้ว ครับ.. จะมีร้านขายดอกไม้ ไว้สักการะบูชาอยู่หน้าวัดหลายร้านเลยครับ.. ก่อนเข้าวัดจะโดนตรวจอย่างละเอียด แยกเป็น ชาย-หญิง ค่าเข้าวัดคนละ 1000 รูปีครับ ประมาณ 250 บาท และถ้าจะใช้กล้องถ่ายรูปต้องเสียเพิ่มด้วยครับ..
ส่วนคนศรีลังกาจะเข้าฟรีครับ พุทธศาสนิกชนจะเข้ามาที่วัดแห่งนี้เยอะมากครับ..ต้องขออภัย..พอดีเราไม่ได้เสียค่ากล้องถ่ายรูป (แอบงก ฮาๆ) ก็เลยเก็บภาพได้เพียงเท่านี้ครับ.. แต่ข้างใน ขอบอกว่าสวยงามมากครับ…^^
สักการะเสร็จเป็นที่เรียบร้อย..เราก็ไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่ รร.คืน เพื่อจะเดินกลับไปที่ท่ารถครับ…เพื่อที่จะหารถเมล์ต่อไป Dambulla ครับ..อยากให้ไปถึงที่นั่นก่อนค่ำครับ..เพราะถ้าค่ำแล้วคงลำบากน่าดูเลย..–”
เดินผ่านก็เลย แวะดื่มน้ำ ที่ร้านไวท์เฮ้าท์ ที่เดิมครับ..อ่อลืมบอกไปว่าที่นี่ มี free wifi ให้เล่นด้วยนะครับ..สั่งน้ำมาดื่มให้ชื่นใจสักหน่อย ก็เหมือนเดิมครับ มีกลิ่นคลอรีน ทั้งน้ำผลไม้ หรือน้ำอัดลม โค๊กมีกลิ่นหมด คราวนี้รู้แล้วครับ ต้องสั่งน้ำดื่มขวดใหญ่ๆ ไม่มีกลิ่น สดชื่นเย็นชื่นใจ…^^ แต่ที่นี่ไม่ค่อยเสริฟน้ำแข็งให้นะครับ..
เดินทางกันต่อไปที่สถานีรถครับ.. ตอนนี้ค้นพบเส้นทางลัด เดินบนทางรถไฟ ฮ่าๆ พี่น้องศรีลังกาเดินขวักไขว่ กันเยอะทีเดียว..
และแล้ว ก็เดินทางมาถึงสถานีรถโดยสารครับ..วุ่นวายมากๆ.. เพื่อจะหารถต่อไปที่ Dambulla ทั้งเดินหา เดินถามคนแถวนั้นก็ไม่เจอครับ..ท่าทางเขาจะฟังไม่เข้าใจซะมากกว่า ฮ่าๆ… เดินผ่านคันนึงเห็นไป Dambulla กำลังจะออกจากท่ารถไป คนเต็มแน่นคนรถเลย.. กระเป๋ารถตะโกนมาถามว่าจะไปมั้ย คันสุดท้ายแล้ว.. แต่เห็นคนเยอะขนาดนั้นคงขึ้นไปอัดไม่ไหว นึกขึ้นได้ว่า รถที่จะไป เมืองอนุราธปุระ ต้องผ่าน Dambulla อยู่แล้ว เดี๋ยวพอนั่งผ่านแล้วเราขอลง Dambulla ล่ะกัน…^^
พอเห็นรถไป เมืองอนุราธปุระ เราก็เลยวิ่งขึ้นรถกันทันที ออกเดินทางไป Dambulla ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชม. คงไปถึงสักประมาณทุ่มนึงครับ..
รถที่จะไป เมืองอนุราธปุระ ผ่าน Dambulla อยู่แล้วครับ..ก็เลยถามคนเก็บเงินบนรถเหื่อความแน่ใจ เป็นรถมินิบัส ที่สำคัญเลยคือมีแอร์ครับ..แต่สภาพรถและสภาพแอร์ที่ก็ถือว่าเก่าแก่เช่นกันครับ…–” ค่าตั๋วไปลงที่ Dambulla 190 รูปี ประมาณ ไม่เกิน 50 บาท ใช้เวลา 2 ชั่วโมง เราก็ตกลงกับ กระเป๋ารถ ว่าถึงที่หมายช่วยบอกด้วย เพราะกลัวจะงีบหลับ แล้วจะเลยที่หมายไป…
นั่งมาได้สักประมาณ 2 ชั่วโมง ตอนนี้เราก็รู้ตัวแล้วครับว่า มันควรจะถึงได้แล้ว.. ก็มองไปข้างนอก ก็มืดมิดเสียแล้ว นานๆทีจะผ่านหมู่บ้าน สักทีนึง… ผ่านหน้าวัดพระทอง ที่มีองค์พระใหญ่ๆ ก็พอจำได้ว่าเคยเห็นในเนต แต่คิดว่าคงยังไม่ถึงที่จอดรถ แต่รถก็ยังวิ่งไปเรื่อยๆ ไม่มีท่าทีว่าจะจอด ก็เลยตะโกนถาม กระเป๋ารถ ปรากฎว่า….“เขาลืม”…ครับ.. โอ้…ข้างนอกก็ช่างมืดมิด รถก็เลยมาจอดป้ายในตลาดแห่งนึงครับ..คนขึ้นมาเต็มเลย..เราจะขอลงก่อน คนก็กรูกันขึ้นมาจะเข้ามานั่ง ลงรถลำบากจริงๆ.. พอลงจากรถ ก็มีตุ๊ก ตุ๊ก…สามล้อ…มาเรียกให้ไปใช้บริการกันเต็มเลย..
ถามราคา เขาคิด 100 บาท..ก็โอเค ไม่แพง…
แต่ขึ้นย้อนกลับมาสักพัก ตุ๊กๆ พาเข้าซอยเปลี่ยวๆ เราก็ชักไม่แน่ใจ พอถามไป เขาก็บอกว่าจะพาไปหา รร. แต่ในระหว่างทางที่เรานั่งรถมานั่นเราเห็น รร. นึงซึ่งเล็งๆ ไว้แล้ว และอยากอยู่ที่นี่มากกว่า เพราะอยู่ติดริมถนนเลย.. ตุ๊ก ตุ๊ก…ก็เหมือนจะหว่านล้อมให้ไป รร. ที่ที่เขาจะพาไปให้จนได้ จนต้องอธิบายกันยาว..
และแล้วก็กลับมาที่ ที่เราเล็งๆ เอาไว้ตอนนั่งรถผ่านครับ.. ดูสะอาด ปลอดภัย และน่าพักดี… ชื่อว่า Heritage Dambulla เราทำการเช็คอินเข้าพัก ในราคาประมาณ 1500 บาท 3 เตียง.. มีห้องน้ำ แอร์ น้ำอุ่น free wifi จากนั้นก็มานั่งหาอะไรทานที่ลอบบี้ ครับ…
จิบ Anchor Beer แก้เหนื่อยสักหน่อย…^^
พนักงานที่นี่จะคอยบริการอย่างดีเลยครับ… ยืนเฝ้าเราทานตลอดเวลา คอยเติมนู่น เติมนี่ให้…
เมนู และ ราคาอาหารของที่นี่ครับ… อยากรู้ราคาเท่าไร…ก็เอา 4 หารไปละกันครับ (โดยประมาณ)
บรรยากาศของ Dambulla ดูเงียบสงบมากๆ…ยามราตรีนี้สงบมากจริงๆ… และก็รู้สึกว่า ในค่ำคืนนี้ …มีห้องเราพักเพียงแค่ห้องเดียว…
เราจัดการสั่งข้าวผัด มากินกันอย่างง่ายๆ…พร้อมกับ จิบเบียร์กันไปพลางๆ..
บรรยากาศห้องพักของเราในคืนนี้ครับ..เป็นที่นอนเตียงเดี่ยว 3 เตียงครับ.. สภาพห้องถือว่า สะอาดมาก ดูใหม่…ทันสมัย… อาบน้ำ เปิดแอร์เย็นๆ…อยากล้มตัวลงนอนมากเลย หลังจากผจญภัยกันมาทั้งวัน..
อีกมุมหนึ่งของห้องครับ…
ห้องน้ำจะกว้างมากครับ สะอาด มีพื้นที่อาบน้ำแยกไปอีกส่วน…อาบสบายดีครับ… และแล้ว…. หลังจากอาบน้ำสดชื่น เปิดแอร์เย็นๆ สบาย…ๆ ก็พร้อมใจกันหลับเป็นตายเลยครับ…
ตื่นมากับเช้าวันใหม่ วันที่ 2 ในศรีลังกา ตอนเช็คอิน เดินทางกันมาถึงก็มืดจนมองอะไรไม่ค่อยเห็น เช้ามาก็ต้องสำรวจโรงแรมของเรากันหน่อยแล้ว ก็สวยใช้ได้เลยนะเนี่ย… อากาศเช้าๆ ของที่นี่ ดีมากครับ ดูเงียบๆ สงบดี อากาศเย็นๆ…เงยหน้าไปบนต้นไม้แถวๆ โรงแรม เพิ่งสังเกตุว่าลิงเยอะเหมือนกันแฮะ..
เช้าๆ…สั่งกาแฟมานั่งจิบ ชิลๆ ตรงนี้ก็ได้นะครับ..
ได้เวลาอาหารเช้า… กับโต๊ะ ตัวเดิม และ พนักงานคนเดิม…ทานอาหารเช้าทานก่อนออกเดินทางต่อในวันนี้…
เลือกทานเป็น ออมเล็ต ขนมปังง่ายๆ…ครับ…
รู้สึกถูกใจ..กับแยมมะม่วงนี้มากเลย..^^
และที่ขาดไม่ได้คือการจิบชาครับ.. ศรีลังกา มีชื่อเสียงในการปลูก “ชาซีลอน”.. รสชาติชัดเจน เข้ม ซึ่งเป็นที่นิยมกันในหมู่ผู้บริโภคชาเป็นอย่างมาก
เช้าๆ…จิบชาร้อนๆ…
เพิ่มพลังสำหรับวันนี้ครับ… เดี๋ยวต้องใช้กำลังอีกเยอะ…อิอิ…….^^
พระอาทิตย์เริ่มจะแผดแสงแรงกล้าแล้ว.. ได้เวลาที่เราจะออกเดินทางกันต่อ… โปรแกรมในวันนี้เราจะเดินทางไป “สิกิริยา” กันครับ.. อยู่ห่างจากแดมบูล่านี้ ไปประมาณ 20 Km ก็วางแผนว่าจะไปเที่ยวกันเสร็จก่อนเที่ยง เพราะจะกลับมาอาบน้ำ แล้วก็เช็คเอ้าท์ครับ..
พาหนะที่จะพาเราไป”สิกิริยา”ในวันนี้ก็เป็น ตุ๊ก ตุ๊ก ครับ…ให้ทางโรงแรมติดต่อให้… ซึ่งถ้าหารถโดยสารไปก็พอมีอยู่ครับ แต่เราไม่อยากเสียเวลา ต้องทำเวลาพอสมควร.. รถตุ๊กๆ จะพาไปส่งที่ “สิกิริยา” ครับ แล้วก็รอรับกลับด้วย.. ราคาเหมาไป 1400 รูปี ก็ตกคนละ ร้อยนิดๆ…ก็คิดว่าคุ้มแล้วครับ สะดวกดี..
ออกเดินทางไป…“สิกิริยา” กัน ครับ…!!
อยากบอกว่า…ตุ๊ก ตุ๊ก ที่ศรีลังกา ซิ่งกันมาก… ระหว่างทางก็เห็นทิ่มลงไปข้างทาง คัน สองคันไปแล้ว…เสียวน่าดูเลย… ไม่ใช่เฉพาะ ตุ๊ก ตุ๊ก…รถทุกคันนี่ซิ่งกันกระจายเลย.. จะรอดมั้ยเนี่ย…–” อิอิ
ระยะทางประมาณ 20 Km ก็ถือว่าไปไกลจนเกินไป แต่ได้ซิ่งลุ้นกันไปตลอดทาง.. ในระหว่างทางพี่คนขับ..ก็จอดแวะให้ถ่ายรูป นู่นนี่…นำเสนอมาเองเลย..
เริ่มมองเห็น “สิกิริยา”…อยู่ไกลๆ นู่นแล้ว…^^ เมืองสิกิริยา เป็นเมืองที่มี “ป้อมปราการระฟ้า” ซึ่งมีการก่อสร้างโดยกษัตริย์กัสปาสมัยศตวรรษที่ 5 เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดของศรีลังกา
เดินทางมาถึงกันแล้วครับ…ไปซื้อตั๋วเข้าชมกันครับ..
นักท่องเที่ยวเริ่มมากันเยอะครับ..
ค่าเข้า “สิกิริยา”…คนละ 30 USD ประมาณ 900 บาท ก็ถือว่าแพงพอสมควรนะครับเนี่ย.. เราจะต้องเดินขึ้นไปชมข้างบนโดยขึ้น บันได 2200 ขั้น..เพื่อไปถึงพระราชวังข้างบน..และใช้เวลาทั้งสิ้นในการเดินขึ้น เดินลง ประมาณ 3 ชั่วโมง..ได้ออกแรงกันแล้วครับ..–“
บัตรเข้าชม.. ด้านใน…จะแถมซีดีแนะนำข้อมูลให้ด้วยครับ… และบัตรใบนึง ก็จะมีตั๋วเล็กๆ… เหมือนผ่านไปทีละด่าน เขาก็ฉีกออกทีละใบไปเรื่อยๆ ครับ..
ผ่านจุดแรกเข้าไปกันครับ…
เดินผ่านคูน้ำด่านแรกเข้าไปครับ…
บรรยากาศหลังจากเดินเข้ามาในเขต “สิกิริยา”
ผ่านกำแพงพระราชวังเข้ามาจะพบสระสรงน้ำขนาดใหญ่ 2 สระ เป็นที่สรงน้ำกับเหล่าพระมเหสีและนางสนมครับ..
อีกหนึ่งสระ….ครับ…
ทางเดินมุ่งไปสู่ พระราชวังสิกิริยาครับ…ในวันที่แดดแรงมากๆ…
ระบบชลประทานในสมัยก่อน..
เดินต่อไปจะพบกับก้อนหินขนาดใหญ่ครับ.. มีแท่นที่ประทับพักผ่อนของกษัตริย์ใต้เพิงหิน.. มีบันไดทางขึ้นระหว่างซอกหินขนาดใหญ่ ขึ้นไปยังระเบียงหน้าผาของภูเขา..ครับ
หนทางอีกยาวไกลครับ…เดินกันไปเรื่อยๆ…
เดินมาถึงตรงจุด..ทางเดินริมหน้าผาแล้วครับ.. สูง…และเสียวใช้ได้เลย….!
ตรงนี้จะเป็นจุดฉีกตั๋วอีกจุดนึงครับ…เดินเข้าไปก็จะพบกับ “กำแพงกระจก”
“กำแพงกระจก” …ทำด้วยอิฐฉาบปูนราบเรียบลื่นจนเป็นมันเงา(ทาด้วยสีเหลือง) มีอักษรจารึกที่กำแพงเป็นคติคำสอนในพระพุทธศาสนา ในช่วงเลาบ่ายๆแสงแดดจะสาดส่องสะท้อนสู่ผนังถ้ำกับกำแพงกระจกก่อให้เกิดกำแพงสีเหลืองอร่ามกระจ่างชัด เงางามเต็มทั่วแนวกำแพง…
แนวกำแพงกระจก และ ทางเดินริมหน้าผา…
น่าจะเป็นข่าว และ ประกาศ ต่างๆ…(อ่านไม่ออกครับ…–“)
เดินไปเรื่อยๆ ก็จะเห็น “ภาพเขียนสีเฟรสโก้” ครับ.. “ภาพเฟรสโก” …เป็นภาพวาดรูปสตรีครึ่งตัว เปลือยหน้าอก ใส่เครื่องประดับทั้งมงกุฏ ต่างหู สายสร้อย ทับทรวง แหวน และกำไล บ้างถือดอกไม้หรือถาดดอกไม้ กล่าวกันว่านางเหล่านี้เป็นมเหสี พระราชิดา นางสนม ฯลฯ แต่บางคนกล่าวว่าเป็นนางอัปสรตามความเชื่อของชาวอินเดียใต้ กำแพงที่มีภาพดังกล่าวมีขนาดใหญ่เท่ากับสนามฟุตบอลและน่าเคยมีภาพเช่นนี้กว่า 500 ภาพ แต่ขณะนี้เหลือเพียง 23 ภาพ ภาพทั้งหมดมีขนาดเล็กกว่าตัวจริง…
ภาพเหล่านี้อยู่มาได้กว่า พันปี…คงทนมากๆ เลยครับ..
ทางเดินวนขึ้นไปครับ เป็นบันไดเหล็ก เสียวๆ เหมือนกันครับ เพราะดูเก่าๆ..ผุๆ.. ยิ่งเดินขึ้นไป ยิ่งสูง ก็ยิ่งเสียวล่ะครับ ตื่นเต้นดี…
มองลงไปข้างล่าง เริ่มสูง เป็น Step ไปเรื่อยๆ ครับ..
เดินกันขึ้นมาจนถึง อีก Step นึงแล้วครับ… แดดร้อนมาก… เริ่มจะปวดขากันแล้วครับ ฮ่าๆ…
และตรงนี้ก็เป็น “ประตูสิงห์ ” ครับ… “ประตูสิงห์ : ทางเดินของท้ายภูเขาทางทิศเหนือ มีลานที่เป็นต้นกำเนิดของชื่อสิกิริยา (ภูเขาหิน) ครั้งหนึ่งภูเขานี้เคยเป็นรูปสลักหินสิงโตยักษ์ และมีทางขึ้นไปยังยอดเขาอยู่ตรงระหว่างอุ้งเท้าของสิงโตที่อ้าปาก ปัจจุบันเหลือเพียงอุ้งเท้าสิงโตที่ยังปรากฎให้เห็น เล็กแต่ละเล็บของอุ้งเท้าสิงโต มีขนาดยาว 7-8 ฟุต ซึ่งสามารถบอกได้ว่ารูปสลักเดิมเคยมีขนาดใหญ่แค่ไหน”
อุ้งเท้าและเล็บ…ใหญ่มาก…!!
อีกข้างนึง…ครับ…
ตรงกลางจะเป็นทางเดินขึ้นไปข้างบน พระราชวังอีกครับ… ต้องเดินขึ้นไปอีกครับ…!! หยุดถ่ายรูป ชมวิว ให้หายเหนื่อย เดี๋ยวลุยกันต่อครับ…
ทางเดินสุดเสียว ระหว่างเดินไปข้างบนครับ..อากาศร้อน แดดแรงมากๆ ระหว่างเดินนี่ไม่กล้ามองลงไปข้างล่างเลย.. เสียวสุดๆ… นับถือคนสมัยก่อนจริงๆ เขาขึ้นกันไปได้ยังไง..แถมไปสร้างวังไว้บนนั้นได้อีก.. ตอนนี้นับว่าพลังใกล้จะหมดกันแล้วล่ะครับ –“
….และก็ มาถึงกันจนได้ครับ หอบแฮ่กๆ…กันทีเดียว…–” ขอนั่งพักกันก่อน…เดี๋ยวค่อยว่ากัน…
พระราชวังสิกิริยา ด้านบนครับ… ตอนนี้เหลือเพียงเศษซากปรักหักพัง…เหลือแต่เพียงรู้สึกจะเป็นฐานรากของพระราชวัง เท่านั้น…
ตรงนี้..เมื่อก่อนน่าจะเป็นสระน้ำ..
เดินขึ้นมาไกล…พักเหนื่อย…เดินเล่นชมวิวกันไปครับ.. ท่ามกลางแดดร้อน…แต่ลมพัดเย็นดีครับ…^^
บรรยากาศเมื่อมองจาก…“พระราชวังสิกิริยา” บนจุดสูงสุดครับ…
ขึ้นมาบนนี้ยังพอมีต้นไม้ให้หลบแดด ..ได้นั่งเล่น…กันบ้างครับ.. รู้สึกทึ่ง และนับถือ คนสมัยก่อนจริงๆ ที่ขึ้นมาสร้างพระราชวังบนเขา ที่ทุกด้านเป็นหน้าผาแบบนี้ได้… เราใช้เวลากันพอสมควรบนนี้ครับ เพราะต้องรีบลง ให้ทันไปถึง โรงแรมก่อนเที่ยงครับ.. ขาลงนี่จะดูสบายๆ กว่าขาขึ้นเยอะเลยครับ.. ลองจับเวลาดูก็ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงอย่างที่เขาบอกไว้จริงๆ.. ทางออกก็จะมีร้านของที่ระลึกเรียงรายไว้ให้จับจ่ายใช้สอยครับ.. ราคาก็ไม่แพง ต่อรองได้สบายครับ..
เดินออกมาก็เห็น พี่คนขับตุ๊ก ตุ๊ก ของเรารออยู่เพื่อรับกลับ..ก็เดินทางกลับโรงแรมครับ…ถึง โรงแรม 11 โมงเช้า มีเวลาอาบน้ำ พักผ่อน ทานข้าวอีก 1 ชั่วโมง แบบ สบายๆ…ครับ.. ก่อนที่เราจะเช็คเอ้าท์ แล้วเดินทางกันต่อครับ..
หลังจากไปเที่ยวสิกิริยาเสร็จก็อาบน้ำแต่งตัว.. เตรียมออกเดินทางกันต่อครับ.. โดยเดินออกมาหน้าโรงแรมครับ ซึ่งจะติดกับถนนสายหลักเลย.. จะมีป้ายรถเมล์อยู่ใกล้ๆ ครับ หารถกลับ แคนดี้กัน..
ลักษณะป้ายรถเมล์ครับ..จะมีคนมารอเดินทางกันอยู่…เราพยายามสอดส่องสายตา ดูป้ายรถตลอดครับ.. ว่าคันไหน..ไป Kandy เพราะ บางทีรถเขียนเป็นภาษาท้องถิ่น อ่านไม่ออกครับ..ฮ่าๆ และก็รถแต่ละคันก็ซิ่งกันกระจายเลย..ดูป้ายแทบไม่ทัน…
รถมาแล้วก็ขึ้นโดยพลันครับ…โชคดีคันนี้คนไม่เยอะครับ ได้นั่งบ้าง ไปสบายๆ ครับ บางคันผ่านไปคน แน่นมากๆ… ราคาประหยัด รู้สีกจะ 20 กว่าบาท.. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ขั่วโมง ถึงแคนดี้ครับ..
เดินทางในยามบ่ายๆ…รถซิ่งกระจายเหมือนเดิม.. ขับกันเร็วมากๆ..และก็แซงกันกระจายเหมือนกัน..บนรถระหว่างทางก็จะมี วณิพก ขึ้นมาบรเลงเพลงบ้างเป็นระยะครับ ขับกล่อมไประหว่างเดินทาง.. ก็แปลกตาดี ดนตรีแปลกหู แต่รู้ว่าเพราะ จริงๆ..
ป้ายโฆษณาระหว่างทาง…
ผ่านภูเขาลำเนาไพร…ก็เริ่มเข้าเขตเมืองแล้วครับ คนเริ่มจะเยอะแล้ว..
ป้ายรถเมล์ นี่มีหลากหลายรูปแบบจริงๆ…
ข้ามสะพานนี้ก็มาถึงแล้วครับ…แคนดี้….มาถึงตรงนี้เราไม่รู้จะลงตรงไหน หลงทิศกันจริงๆ..ไม่อยากต่อรถแล้วเดินไกล.. เผอิญสายตามองไปเห็น วัดเขี้ยวแก้ว ครับ จำได้.. ก็รีบลงทันที ก็สบายเลยครับ..ลงตรงใกล้ๆ โรงแรมที่เราจองไว้ใกล้ๆ วัดพอดี..
โรงแรม Olde Empire ที่เราจองไว้วันแรกที่มาถึงครับ..ตอนนี้กลับมาพักสักทีแล้ว… ราคาประหยัด 3 เตียง 300 บาทไทย.. คนละร้อย ห้องน้ำรวม อยู่ติดวัดด้วย..
บรรยากาศ มุมนั่งเล่นครับ มองไปจะเห็นวัดพระเขี้ยวแก้วเลย..
บรรยากาศห้องนอนก็สภาพตามราคาครับ…เป็นห้องเก่าๆ..มีสามเตียง เล็กๆ ติดๆกันครับ มีพัดลมตัวใหญ่หนึ่งตัว..มีตู้กระจกเก่าๆ หนึ่งหลัง ยอมรับว่าหลอนพอสมควรเลยครับ..–“สงสัยเพราะความเก่ามากๆนั่นเอง.. ด้านบนจะมีช่องเป็นรูโหว่ใหญ่ๆ มองเห็นเป็นช่องใต้เพดานอีก โอ้วว..นอนตะแคงข่มตาหลับอย่างเดียวเลย..
มีโต๊ะเครื่องแป้งเก่าๆ หนึ่งตัวครับ..พร้อมน้ำดื่มในขวดใสๆ หนึ่งขวด.. อาจจะดูหลอนๆ แบบคิดไปเองมากกว่าครับ ฮ่าๆ..คืนนี้รู้สึกเป็นคืนวันพระ ได้ยินเสียงพระสวด มาเป็นระยะ จากในวัดครับ.. เสียงกังวานดูมีมนต์ขลังมาก.. ได้บรรยากาศอีกแบบเลย..
เก็บของเรียบร้อย เย็นๆ เราออกไปเดินเล่นกันริม Kandy Lake ครับ..ทะเลสาปแคนดี้ หรือ Kiri Muhuda ขุดขึ้นประมาณปี ค.ศ. 1815 กษัตริย์ Sri Vikrama Rajasimha ได้ทรงให้ขุดทะเลสาปนี้ขึ้น ซึ่งเดิมทีที่ตรงนี้เป็นทุ่งนา..ชมเมืองไปเรื่อยๆ…ตลอดระยะเวลาเดินเล่นก็ได้ยินเสียงพระสวดผ่าน เครื่องกระจายเสียงมาเป็นระยะๆ ครับ..
จากนั้นก็เดินเล่น ในห้างสรรพสินค้า ครับ…แต่ปิดเร็วไปหน่อย 6 โมงเย็นก็ปิดแล้ว ปิดไวมากๆ เลย…และก็ดูเหมือนผู้คนก็เริ่มบางตา เหมือนเมืองนี้เข้านอนกันไว.. เราก็เลยเข้านอนไวไปด้วย เป็นการ เอาแรงไปในตัว…ก็เลยปิดไฟเข้านอนกัน…ตอนแรกก็ไม่มืดมาก…เพราะข้างนอกทางเดินเปิดไฟไว้ อากาศสบายๆ เปิดพัดลมแรงๆ ยุงไม่กัด ก็เลยไม่ได้ใช้มุ้งเก่าๆ ที่เขาเตรียมให้ ตื่นมากลางดึก มืดมาก เพราะข้างนอกดันปิดไฟซะงั้น มองไม่เห็นอะไรเลย.. ก็เลยข่มตาหลับต่อ…สรุปก็หลับสบายดีครับ…ตื่นมาอีกทีก็ตี 4 ครึ่ง เตรียมเก็บของ.. ไปสถานีรถไฟกัน…!!
เช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรม..เดินฝ่าความมืดตอนตี 5 ไปสถานีรถไฟ ซึ่งห่างออกไปประมาณ 800 m บรรยากาศยามเช้า เงียบสงบ ผู้คนเริ่มออกมาจับจ่ายใช้สอย เราเดินมาถึงสถานีรถไฟ แบบสบายๆ เดินเล่น.. จะนั่งรถไฟไป Colombo กันครับ รถไฟชั้น 1 ราคาประมาณ 225 บาท ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงครับ..
เช้านี้ ผู้คนมาใช้บริการกันเยอะแยะเลยครับ.. เราได้ตั๋วมาตั้งแต่วันแรกแล้ว ก็เดินไปที่ชานชาลาเลยครับ..
รู้สึกพอขึ้นมาชั้น 1 จะเต็มทุกที่นั่งเลยนะครับ.. สภาพรถก็เยี่ยมเลย ห้องผู้โดยสารใช้ได้เลยทีเดียว ดูสะอาดตา.. ระหว่างเดินทางก็สามารถสั่งอาหารได้นะครับ มีบริกร คอยบริการตลอด..
ระหว่างทางจะเป็นเส้นทางเลียบ ภูเขาครับ .. บางจุดสามารถ ชมวิวสวยๆได้เลยนะเนี่ย…
เดินทางผ่านสถานีต่างๆ คนมารถรถไฟ ออกไปทำงานในยามเช้า..
นั่งพอได้งีบ เป็นพักๆ ก็เดินทางมาถึงแล้วครับ สถานีรถไฟ โคลอมโบ..
เราลงมาที่สถานี ยัง งงๆ หลงทิศกันอยู่ พอดีมีรถไฟอีกขบวนมาจอด คนลงมาเยอะมากๆ…
เราต้องเดินข้ามไปอีกฝั่งครับ ตัวสถานีอยู่ที่ฝั่งนู้น..
สถานีนี้นับว่าเป็น จุดศูนย์กลางการเดินทางเลยก็ว่าได้ครับ คนเยอะมากๆ… แต่รถไฟของเขาที่เห็นแบบนี้ อยากบอกว่า ตรงเวลาครับ…!!
ข้ามไปอีกฝั่ง คนกำลังต่อแถวออกกันครับ… เนื่องจากต้องคืนตั๋วตรงทางออกด้วยครับ…
เราจัดการซื้อตั๋วรถไฟชั้นสาม ครับ..อยากลองขึ้นรถไฟชั้นสามเล่นๆดู เป็นเส้นริมหาด ครับ… รางรถไฟจะขนานไปกับแนวชายหาดเลย…
เราไปลงที่ Kollupitiya Railway Station ครับ ห่างไปประมาณ 3 สถานีได้ครับ..
ด้วยค่าตั๋วรถไฟสุดประหยัด…10 รูปี..ประมาณ 2.50 บาท…ตั๋วคล้ายๆของบ้านเราเมื่อก่อนเลย..แต่เวลาถึงจุดหมายต้องคืนตรงทางออกนะครับ..
ซื้อตั๋วเสร็จ มีเวลาประมาณ หนึ่งชั่วโมงก็เดินข้ามสะพานลอย มาหาอะไรทานอีกฝั่ง ตรงข้ามกับสถานีรถไฟครับ.. การจราจรที่นี่หนาแน่นมากๆ และคนก็เยอะด้วยครับ..
ที่นี่เราจะเห็นร้านหนังสือเยอะมากครับ.. และ…ที่ขาดไม่ได้ คือ ร้านขายหวยครับ…ขายกันทั้งวัน ทุกวัน…ออกรางวัลกันบ่อยมาก…เห็นอยู่หลายร้านทั่วศรีลังกาเลย…
ทานข้าวเสร็จเรียบร้อย ได้เวลาออกเดินทางแล้ว กลับมาขึ้นรถไฟครับ.. มาตรงเวลา ออกตรงเวลา เป๊ะ…!!
ศิลปะ บนผนังตู้โบกี้ที่นี่ครับ…เป็น“รักเปิดเผย” อิอิ… รถไฟสายนี้คนไม่ค่อยเยอะครับ.. นั่งไปสบายๆ… สักพักจะไปเลียบชายฝั่งทะเลครับ.. นั่งรถไฟริมหาด บรรยากาศดีมากๆ…ลมพัดโชยมาตลอด…
เดินทางมาถึงแล้วครับ… Kollupitiya Railway Station ^^
Kollupitiya Railway Station สถานีรถไฟที่นี่ สวยจริงๆ ครับ…เก่า คลาสสิคดี..
นี่ครับ บรรยากาศรถไฟริมทะเล…รางรถไฟเลียบชายหาด…
เก็บภาพเป็นที่ระลึกหน่อยสิครับ..!!
ทะเลแถบนี้ ดูเงียบๆ ดี…
ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีคนเลย…
เราต้องข้ามสะพานมาอีกฝั่ง เพื่อเข้าเมืองครับ..
เส้นทางเลียบชายหาด ทอดยาวลงไปทางใต้นู้น…
เราเดินเท้าจากสถานีรถไฟมาที่ วัดกลางน้ำครับ..ซึ่งตั้งอยู่กลางทะเลสาป…
วัดสีมามาลากา : วัดกลางน้ำ กรุงโคลัมโบ ประเทศศรีลังกา
ทางเดินเข้าวัดครับ..ข้างนอกดูร้อนๆ แบบนี้ … พอเข้าไปข้างในวัดจะร่มเย็นมากครับ…เย็นแบบอยู่ติดน้ำ …วัดสีมามาลากา (Srima Malaka Temple) ตั้งอยู่กลางทะเลสาบ เบรา (Beira Lake) โดยสร้างตัวอาคารไม้ หลังคาสีน้ำเงินจำนวน 3 หลัง สร้างอยู่กลางน้ำ และมีสะพานไม้ทอดยาวไปยังอาคารหลังใหญ่กลางะเลสาบ ซึ่งมีระเบียงโดยรอบประดิษฐาน ไปด้วยพระพุทธรูปที่คนไทยได้สร้างถวาย..ครับ..
ในน้ำมีเจ้าตัวนี้…ด้วย ^^
พระพุทธรูปรอบๆ วัดกลางน้ำ…
ดูสวย และแปลกตาดีครับ…อยู่กลางน้ำ มีฉากหลังเป็นตึกสูง…
จากนั้นได้เวลาอันสมควรแล้ว เป็นเวลาประมาณบ่ายโมง…เราจะกลับไปกันที่ สถานีรถไฟ โคลอมโบ ที่เดิมครับ.. แต่คราวนี้เราจะใช้บริการตุ๊กๆ เพื่อความรวดเร็วครับ โบกตุ๊กๆ กลับครับ…
แวะทานข้าวเที่ยง แถวๆ สถานีรถไฟครับ.. เมนูวันนี้ รีมิกซ์เหมือนเดิม ราคาอยู่ที่ ประมาณ 4-50 บาท แต่ได้เยอะมากๆ.. ไม่มีช้อนให้อย่างแน่นอนครับ…โซ้ยกันเลยทีเดียว… พนักงานบริษัท ใส่สูท ก็มานั่งโซ้ยกันเป็นปกติครับ..เป็นวัฒนธรรมการทานของเขาครับ..^^
เจอร้านบรรดาผลไม้ทั้งหลายครับ..บริเวณนี้มีขายกันหลายร้านมาก…
มะพร้าวราคาสิบบาทไทยครับ…!!
หรือจะลองกล้วยดูก็ได้ครับ…ขายกันเป็นลูกๆ…
ลูกใหญ่ขนาดนี้…ลูกเดียวคงกินอิ่ม ล่ะครับ..
เราดูตารางรถไฟแล้ว มีรถไฟสายชานเมือง ไปที่ Negombo ตามแผนของเราจะไปนอนที่นั่นครับ…จะขึ้นไปทางตอนเหนือของ โคลอมโบ เดินทางประมาณ ชั้วโมงครึ่ง ก็ถึงแล้วครับ..ในราคา 40 รูปี หรือ 10 บาท เท่านั้นเอง…
ตอนแรกนึกว่าขบวนนี้ครับ… ถ้าเป็นจริงท่าทางจะไม่ไหวนะเนี่ย…–“
เดินมาหาชานชาลาที่ระบุในตั๋ว เป็นรถไฟขบวนนี้ครับ…^^
ข้างในโปร่ง นั่งสบายๆ หน่อยครับ…ดูใหม่ดีครับ… สภาพก็ดูสะอาดดีครับ…^^
น้องๆ นักเรียนกำลังซุบซิบ ชาวต่างชาติทั้งสามอยู่อย่างออกรส…^^
สักพักคนก็เริ่มขึ้นมาเรื่อยๆครับ…เวลาเลิกงานพอดี นักเรียนก็เยอะ… แต่สังเกตุไม่ค่อยมีใครเข้ามาใกล้เราเลยครับ ที่นั่งใกล้ๆเราก็ว่าง ก็ไม่นั่ง ตรงที่โหนใกล้ๆ เราก็ไม่ยืน ไปยืนเบียดกันตรงมุมๆ เหมือนรังเกียจเราเลย ฮ่าๆ..แต่พอมองไปดูฝรั่งสาวสองคนท้ายโบกี้ ก็เหมือนกันครับ ดูพี่น้องศรีลังกาเขาจะเกรงๆนักท่องเที่ยว.. แต่เห็นหน้าโหดๆ แต่ยิ้มง่ายครับ…^^
ใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆ ก็เดินทางมาถึง สถานี เนกอมโบ ครับ.. จะอยู่ไม่ห่างจากสนามบินสักเท่าไหร่.. เนกอมโบเป็นเมืองที่ติดชายหาดครับ.. เราลงจากสถานี ก็ให้ตุ๊กๆมาส่ง โรงแรมที่เราจองไว้ผ่านเนตครับ.. ชื่อ Sea Garden Hotel คืนละ 1200 บาท
ที่นี่ครับ อยู่ติดหาดเลยทีเดียว…
บรรยากาศมองออกไปจากโรงแรมครับ..
เช็คอิน เก็บของเรียบร้อย.. แดดร่มลมตก ลองออกไปเดินเล่นริมหาดกันดีกว่าครับ..
มีนักท่องเที่ยว และประชาชนศรีลังกา มาพักผ่อนกันเยอะเลย.. บ้างก็เดินเล่น ออกกำลังกาย เตะฟุตบอล…หรือมาปิคนิคกันเป็นครอบครัว..
ที่นี่ อีกาจะเยอะมากเลยครับ… และก็ดูเหมือนจะไม่กลัวคนด้วย บินเป็นฝูงเต็มหาดเลย.. ถือของกินมานี่ มีเดินตามมาขอกินด้วยนะ ฮ่าๆ..
เรือนี่เป็นเอกลักษณ์เลย…
วัยรุ่นออกมาพักผ่อน จับกลุ่มคุยกันยามเย็นๆ..
บ้างก็เตะฟุตบอลออกกำลังกาย มีกิจกรรมยามเย็นที่หลากหลาย..
ดูๆ แล้วทะเลที่บ้านเรา สวย และสะอาดกว่านี้ครับ…
เย็นๆ แบบนี้เห็นรถเข็นแบบนี้เยอะมากครับ เข็นมาขายบนหาดกันเชียว ด้วยความอยากรู้ลองเข้าไปดูหน่อยครับ.. เป็นรถเข็นขายของทอดครับ พวกเฟรนฟราย..กุ้งชุบแป้งทอด…อะไรพวกนี้ครับ..
อย่างนี้ไม่พลาดที่จะต้องลองชิมกันสักหน่อยครับ.. อยากบอกว่า กุ้งชุบแป้งทอด อร่อยมาก…กุ้งชุบแป้ง ผสมมัน ลงทอดร้อนๆ โรยเกลือ…อร่อยเยี่ยมทีเดียว..^^
เดินชิม ริมทะเลกันไป… นอกจากอีกกาแล้ว…เจ้านี่ ก็มาขอแบ่งกินบ้าง..
นั่งดูพระอาทิตย์ตก ที่ศรีลังกาครับ…ตกช้ากว่าที่ไทย ^^
ตะวันลับขอบฟ้า…ยังนั่งชิลๆ กันริมหาดครับ… ค่ำคืนนี้ เป็นคืนพระจันทร์ยิ้มด้วยครับ…เมื่อมองจากที่นี่… 🙂
เราสั่งอาหารมาทานเล่นกันนิดๆหน่อยครับ… สั่งที่โรงแรมได้เลย…ส่วนใหญ่พวกของทอดๆจะถูกปากเรามากกว่าครับ..
พร้อมกับจิบเครื่องดื่ม ใต้แสงเทียน ริมทะเล และพระจันทร์ยิ้ม …บรรยากาศสุดๆ.. คงเป็นราตรีสุดท้ายของที่นี่แล้วครับ… เพราะเช้าวันรุ่งขึ้นเราก็ต้องเดินทางกลับกันแล้ว…ก็ขอผ่อนคลายกันสักหน่อย..^^
กระชับมิตรกันหน่อย ตำจอก…!!
ตื่นเช้ามากับเช้าวันใหม่ครับ ต้องเดินทางกลับกันแล้ว.. โรงแรมนี้ ข้างนอกโอเคครับ…แต่คะแนนห้องน้ำ เราให้ติดลบครับ.. เพราะชักโครกกดไม่ลง น้ำฝักบัวไหลไม่สะใจ…ฝาปิดชักโครกพัง…–“
เราให้ รร. ติดต่อ รถตุ๊กๆ ไปส่งที่สนามบินให้ครับ..ที่จริงสามารถหารถเมล์โดยสารไปได้ แต่ด้วยความรีบครับ..ขอไปให้ทันก่อน เดี๋ยวจะตกเครื่องเอา…–“
พี่ตุ๊กๆ…ซิ่งรถ มาแป้บเดียวก็ถึงแล้วครับ สนามบิน…
ได้เวลากลับบ้านเฮากันแล้ว… ไฟล์ทกลับจากศรีลังกา เป็นไฟล์ทเช้า ไฟล์ทเดียวครับ..
ทานข้าวเช้ากันก่อนกลับครับ… พนักงานสายการบิน มาทานกันเยอะเลย ตอนเช้าๆแบบนี้…
และคงเป็นมื้ออำลาศรีลังกาของเราในทริปนี้แล้วนะครับ..ด้วยเมนู…“ข้าวหุงนม มัสมั่นไก่ แกงเหลือง..” อร่อย จัดจ้านด้วยเครื่องเทศจริงๆ… เราก็ซัดกันด้วยมือกันอย่างเอร็ดอร่อยเหมือนเดิมครับ..!!
อิ่มท้องกันแล้วก็ได้อำลา ศรีลังกา ในวันที่ฟ้าสดใส..^^
เดินทางกลับบ้านเฮากันแล้วครับ..!!
ทริปนี้เป็นทริปสั้นๆ…เวลาน้อย เที่ยวยังไม่ครบทุกสถานที่เลยครับ.. แต่โอกาสหน้า รับรองว่าได้มาเยือน ศรีลังกา อีกครั้งอย่างแน่นอน…
ประทับใจหลายๆ อย่างของที่นี่เลยครับ สำหรับทริปนี้..
..ทั้งผู้คนที่ใจดี ความมีน้ำใจของคนที่นี่ ได้รับประสบการณ์แปลกใหม่ ในดินแดนแห่งนี้เยอะเลยครับ.. ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดไว้ตอนแรกเลย มีโอกาสต้องได้มาเยือนใหม่อย่างแน่นอนครับ.. เห็นข้อมูลเป็นประโยชน์ก็ฝากช่วยกด “แชร์” กันด้วยนะครับ เผื่อมีโอกาสไปเที่ยวกัน สุดท้าย ไฉไลแบ็คแพ็คเกอร์ ก็ขอจบทริป “ศรีลังกา” ไว้แต่เพียงเท่านี้นะครับ.. ขอบคุณเพื่อนทุกท่านที่เข้ามาชมกันนะครับ…สวัสดีครับ…^^