AIRASIA SORPORCHOR : PHNOM PENH
เปิดประสบการณ์.. เส้นทางสู่ “พนมเปญ”
ครั้งหนึ่งผมมีโอกาสได้เดินทางไปเปิดประสบการณ์ 1 ใน 12 เส้นทาง กับโครงการ AIRASIA SORPORCHOR ซึ่งจัดโดยสารการบินแอร์เอเชีย ขอนำเรื่องราวต่างๆ มาถ่ายทอดให้ได้ชมกันนะครับ..
ใช้เวลาเพียงชั่วโมงกว่า กับสายการบินแอร์เอเชีย ก็เดินทางมาถึง “พนมเปญ” เมืองหลวงสำคัญของประเทศเพื่อนบ้าน “กัมพูชา” จากสนามบินเข้าเมืองนั้น ดูเหมือนว่าการโดยสารแท็กซี่จะเป็นอะไรที่สะดวกที่สุด โชเฟอร์ขับรถพาฝ่าจราจรที่คับคั่งในตอนเย็น รถนานาชนิดวิ่งสวนกันไปมาเหมือนรังมด ประกอบกับเสียงแตรที่ดังส่งสัญญาณให้กันเป็นระยะๆ เป็นภาพที่ดูวุ่นวายพอสมควร แต่นั่นก็เป็นผลดีที่ทำให้รู้สึกต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา พร้อมที่จะได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ จากที่นี่
เช้าวันรุ่งขึ้น ยังคงเป็นอะไรที่ดูวุ่นวายกับสภาพจราจรในเมืองหลวง ได้เวลาที่จะไปเปิดประสบการณ์กับสถานที่แรก ไปเรียนรู้ความเป็นมาของประวัติศาสตร์กัมพูชา ที่ “พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ” ซึ่งเป็นที่เก็บและจัดแสดงงานศิลปะต่างๆ ที่มีมากหมายหลายพันชิ้น ทั้งงานแกะสลักในยุคสมัยต่างๆ ในประวัติศาสตร์ขอม รวมถึงเรือพระที่นั่ง และเสลี่ยงพระที่นั่ง ที่แลดูวิจิตรงดงาม
เพียงแค่ย่างเท้าเข้ามาในบริเวณพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศและ มนต์ขลังที่ผ่านออกมาจากชิ้นงานศิลปะเลยทีเดียว งานแกะสลักจึงเป็นจุดเด่นของที่นี่ งานบางชิ้นมีขนาดที่ใหญ่โต เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจ
หลากหลายห้องในพิพิธภัณฑ์ แบ่งเป็นโซนต่างๆ ชวนให้เดินสำรวจ และเก็บเอามาเป็นความรู้ ในบางจุดก็ได้นั่งชมวีดิทัศน์บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยววนเวียนเข้ามาเที่ยวชมกันอย่างไม่ขาดสาย
เดินออกจากพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ไม่ไกลกันนัก เป็นสถานที่ตั้งของพระราชวังเขมรินทร์ ซึ่งครั้งแรกที่พบเห็น อาจทำให้คิดถึงบรรยากาศของพระบรมมหาราชวัง และสนามหลวง ของที่ประเทศไทย เพราะให้ความรู้สึก และบรรยากาศที่ใกล้เคียงกันมาก ทั้งสวนสาธารณะ สนามหญ้าเขียวขจี ฝูงนกพิราบที่โบยบิน ตามบริเวณโดยรอบ ซึ่งสำหรับพระราชวังเขมรินทร์นั้นเป็นที่ประทับของกษัติย์องค์ปัจจุบันของกัมพูชา และเป็นสถานที่ใช้ประกอบพระราชพิธีต่างๆ ระบบการจัดวางผังวังจะดูคล้ายกับประเทศไทย ด้วยสถานที่ตั้งที่อยู่บนตำแหน่งที่ดีมากแห่งหนึ่งริมแม่น้ำโตนเลสาป ทำให้พระราชวังแห่งนี้ดูสวยงาม และยิ่งใหญ่อลังการ ใกล้กันภายในเขตพระราชวังนั้น ยังมี วัดพระเจดีย์เงิน เหตุที่เรียกว่า พระเจดีย์เงินนั้น เพราะพื้นอาคารปูลาดด้วยกระเบื้องสีเงินกว่า 5,000แผ่น แต่ละแผ่นหนักกว่า 1 กิโลกรัม แต่คนส่วนใหญ่รู้จักกันในชื่อว่า วัดพระแก้ว ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของกัมพูชา ที่สามารถเก็บความงดงามได้เพียงสายตา ไม่อาจบันทึกภาพกลับมาได้ อันเป็นข้อห้ามสำคัญ
ตกบ่าย เดินลัดเลาะข้างกำแพงพระราชวัง เข้าสู่ถนนเส้นสาย 240 ซึ่งถือว่าเป็นถนนแห่งศิลปะของพนมเปญเลยก็ว่าได้ เพราะถ้าได้ลองมาเดินถนนเส้นนี้ จะได้เห็นร้านกาแฟน่ารักๆ ร้านภาพวาดต่างๆ จัดแสดงเป็นแกลอรี่ และยังมีงานศิลปะสมัยใหม่ที่ผสมผสานกับศิลปะดั้งเดิมของพนมเปญให้ได้เลือกชม แต่กระนั้น แสงแดดยามบ่ายเป็นอันต้องหลบความร้อนมาแวะพักจิบกาแฟกันที่ร้าน THE240 ร้านกาแฟที่มีเอกลักษณ์ โดยแต่ละโต๊ะจะมีต้นข้าวต้นเล็กๆ เขียวขจีปลูกไว้กลางโต๊ะ สร้างความสดชื่นและรู้สึกผ่อนคลาย สั่งกาแฟเย็นๆ สักแก้วมาดับร้อน ฟังเพลงเพราะๆ เสพย์งานศิลป์แนวๆ ให้ความรู้สึกที่ไม่เลวเลยทีเดียว
สถานที่หนึ่งที่เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของชาวพนมเปญ ต้องยกให้ แม่น้ำโตนเลสาป แม่น้ำที่คอยหล่อเลี้ยงเมืองพนมเปญ สร้างอาชีพทั้งการประมง และธุรกิจท่องเที่ยว ยามเย็นหลายครอบครัวจึงเลือกมาปิคนิคกันที่นี่ มีกิจกรรมให้ผ่อนคลายหลายอย่างอาจนั่งเล่นชมวิว ล่องเรือชมบรรยากาศ หรือนึกสนุกก็ออกมาขยับแข้งขยับขาไปพร้อมๆ กับ กลุ่มที่เต้นแอโรบิคกันอยู่ ก็ได้
เข้าสู่เช้าวันที่สอง เริ่มต้นกันที่วัดพนม ซึ่งถือเป็นวัดที่มีสำคัญมาก วัดนี้ถูกสร้างขึ้นบนยอดเขา แม้เขาลูกนี้จะสูงเพียง 27 เมตร แต่ก็ถือเป็นเนินเขาที่สูงที่สุดในตัวเมืองพนมเปญนี้ วัดพนมมีประตูทางเข้าเป็นบันไดนาค ทางขึ้นที่ดูไม่สูงมากนัก ข้างบนมีวิหารใหญ่เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปไว้ให้ชาวพนมเปญและผู้แวะเวียนได้มาสักการะ อีกทั้งภายในวิหารก็ยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังอันสวยงามวาดเป็นเรื่องรามเกียรติ์ให้ได้ชม วัดแห่งนี้เดิมมีตำนานพื้นบ้านเล่าว่า เมื่อหลายร้อยปีก่อน มีเศรษฐีชาวเขมรผู้หนึ่งชื่อเพ็ญ ได้ไปพบพระพุทธรูปถูกน้ำพัดมาเกยฝั่งหลายองค์ นางมีศรัทธาในพระศาสนาอย่างแรงกล้า จึงได้สร้างวัดขึ้นบนยอดเขาที่อยู่ใกล้ๆ เพื่อเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปเหล่านั้น จึงเรียกกันเรื่อยมาว่า “พนมเปญ” หรือแปลว่า “เขายายเพ็ญ” นั่นเอง
จากนั้น นั่งรถ ตุ๊ก ตุ๊ก เดินทางออกจากตัวเมืองพนมเปญราว 12 กิโลเมตร ก็มาถึง “ทุ่งสังหาร” สถานที่ประวัติศาสตร์แห่งหนึ่ง ที่ถือเป็นร่องรอยของความเจ็บปวด และโหดร้ายของพนมเปญ เมื่อก่อนสถานที่แห่งนี้เคยเป็นที่สังหารโหดชาวพนมเปญ ในยุคที่เขมรแดงเรืองอำนาจ หลายชีวิตต้องมาจบชีวิตอย่างทุกข์ทรมาน การเข้าชมต้องเสียค่าบัตร 3 USD และ ค่าเช่าทัวร์ไกค์ อีก 3 USD ซึ่งมีลักษณะเป็นเหมือนเครื่องอัดเสียง พร้อมหูฟัง ที่มีหลายภาษาให้เลือก รวมทั้งภาษาไทย สามารถกดตัวเลขฟังได้ตามจุดต่างๆ ที่แสดงไว้ในทุ่งสังหาร ทำให้เข้าถึงเรื่องราว อารมณ์ และความรู้สึกต่างๆ ของเหยื่อได้เป็นอย่างดี
เรื่องราวที่ได้ยินผ่านหูฟัง ในขณะที่สองเท้าก้าวเดิน บรรยากาศที่สงบเงียบไร้การพูดคุย ชวนให้หลุดเข้าไปในภวังค์ของเหตุการณ์เลวร้ายนั้น หลายคนที่มาที่นี่จึงมีความรู้สึกไม่ต่างกัน นั่นคือความหดหู่ใจอย่างบอกไม่ถูก วันเวลาผ่านไปแต่ร่องรอยของความโหดร้ายยังมีให้เห็น ตามหลุมหลายสิบหลุม ที่เมื่อก่อนเป็นที่สังหารหมู่ และฝังศพหลายชีวิต ทุกวันนี้…คงเหลือแต่เพียงกระดูก และเศษเสื้อผ้าขาดๆ ที่ถูกขุดขึ้นมาเก็บไว้ วันเวลาผ่านไปจึงทำให้หลุมที่เห็น ตื้นเขิน และปกคลุมทับถมไปด้วยเศษใบไม้ แต่กระนั้น..ก็ไม่สามารถกลบ ลบเรื่องราวอันโหดร้ายในอดีตเหล่านั้นลงไปได้
กลับเข้าสู่ตัวเมืองพนมเปญ รถ ตุ๊ก ตุ๊ก มาจอดส่งที่ “คุกตวลสเลง” หรือที่เรียกว่า S-21 จัดเป็นสถานแห่งความทารุณโหดร้ายที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
สถานที่นี้เคยเป็นโรงเรียนมัธยมมาก่อน แต่เมื่อเข้าสู่ยุคเขมรแดงกุมอำนาจ มันได้เปลี่ยนจากโรงเรียน มาเป็นคุก ที่ไว้สอบสวน ทรมาน กักขัง และฆ่าเชลย โดยเริ่มจากนำเอาบุคคลที่เห็นว่าเป็นศัตรู หรือเป็นกบฏมาคุมขัง ใครก็ตามที่ถูกส่งมาที่นี่ จะถูกถ่ายรูป และบันทึกประวัติไว้อย่างละเอียด จากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดประจำของคุก แล้วนำไปกักขังในห้องเรียน โดยห้องหนึ่งๆ จะอยู่กันแบบแออัดยัดเยียดหลายคน โดยมีกฏระเบียบที่เคร่งครัด จากนั้นก็จะมีการรีดเค้น สอบสวน ให้ยอมสารภาพความผิดด้วยวิธีการทารุณหลากหลายรูปแบบ เหยื่อจะได้รับความเจ็บปวดทรมานจนทนไม่ไหวก็จะรับสารภาพ และสุดท้ายก็จะถูกฆ่าทิ้งเสียหมดสิ้น ภายในสถานที่แห่งนี้ จะมีอาคารที่เคยเป็นคุกเก่าไว้จัดแสดงประวัติความโหดร้ายของที่นี้ ทั้งวิธี ขั้นตอน ในการทารุณกรรมเหยื่อ ห้องกักขังแบบต่างๆ และที่จะเห็นเด่นชัดที่สุดก็คงเป็นภาพถ่ายของเชลยหลายร้อย หลายพัน ภาพที่จัดแสดงเรียงรายติดอยู่บนบอร์ด ทั้งสีหน้าและแววตาของเชลยในรูปทุกรูป ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงความลำบาก ความเจ็บปวด และความทุกข์ทรมาน ที่ได้พบเจอในสถานที่แห่งนี้
สุดท้ายนี้ ในการได้มาพนมเปญ จะขาดเสียไม่ได้เลยที่จะลองชิมอาหารพื้นบ้าน ที่เห็นขายกันเยอะสุดเห็นจะเป็น”ไข่ข้าว” ไข่ต้มที่ข้างในยังเป็นตัวอ่อน หรือถ้าอยากลองอาหารแบบหลากหลายก็ต้องไปที่ Central Market ที่ถือเป็นศูนย์รวมของอาหาร และสินค้านานาชนิด
นอกจากได้ลองชิมอาหารแปลกๆ จนอิ่มท้องแล้ว ก็ยังสามารถเลือกซื้อของฝากกลับบ้านได้อีกด้วย ทั้งหมดนั้น… นับเป็นการเปิดประสบการณ์ชีวิตได้เป็นอย่างดี จนอยากบอกต่อว่า มีโอกาสสักครั้งในชีวิตต้องมาเยือนที่นี่ …. “พนมเปญ”
*ขอบคุณสายการบินแอร์เอเชีย “บินคุ้ม คุณภาพครบ” – www.airasia.com