วันเดียวเที่ยวนครฯ :: พาเที่ยว นครศรีธรรมราช ใน 1 วัน
นี่เป็น.. ครั้งแรกของผมที่จะได้ไปเยือนเมืองนครศรีธรรมราช
เนื่องด้วยโปรโมชั่นตั๋วเครื่องบินที่ถูก จึงทำให้อะไรๆ ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น.. การเดินทางจึงเริ่มต้นได้อย่างง่ายๆ ไร้ความคาดหวังใดๆ ทั้งสิ้น ไปแบบสมองเปิดโล่ง พร้อมเปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ไม่เคยได้พบเจอมาก่อน เวลาเพียง 1 วัน ในการเดินทางไปเยือน “นครศรีธรรมราช” ในครั้งนี้ อาจไม่เพียงพอในการท่องเที่ยวได้อย่างเต็มที่ แต่ก็ให้ได้อะไรแปลกใหม่หลายอย่างกลับมาบ้านเช่นกัน
นครศรีธรรมราช เป็น 1 ใน 12 เมืองต้องห้ามพลาด หลายคนมักจะเคยได้ยิน และคุ้นหูกับคำว่า “นครสองธรรม” ซึ่ง “สองธรรม” นี้ ก็คือ “ธรรมะ+ธรรมชาติ” รวมกันเป็นเอกภาพที่ไม่สามารถแยกจากกัน นั่นคือ..มุมมองใหม่ของเมืองนครศรีธรรมราช
สำหรับใครอยาก จองที่พัก นครศรีธรรมราช คลิกที่นี่! ได้เลยครับ มีที่พักให้เลือกมากมาย หลากหลายราคา จองง่าย ชำระเงินได้สะดวกมากๆ ครับ
กด LIKE เพจ เพื่อติดตามข่าวสารและรีวิวท่องเที่ยวจากเรา!
“ธรรมะ” นครศรีธรรมราช เป็นเมืองศูนย์กลางการศาสนาโดยมี พระบรมธาตุเจดีย์วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง ซึ่งประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ พระทันตธาตุของพระพุทธเจ้า และเป็นศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชนทั่วโลกมาอย่างยาวนาน
“ธรรมชาติ” นครศรีธรรมราชเป็นเมืองที่มีธรรมชาติที่สมบูรณ์ ทั้งป่าเขา น้ำตก ชายทะเล โดยมียอดเขาหลวงใน อ.ลานสกา เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในภาคใต้ จนได้ชื่อว่าเป็น “หลังคาสีเขียวของภาคใต้” และ อ.ลานสกา ยังเป็นพื้นที่ที่มีอากาศดีที่สุดในเมืองไทย โดยเฉพาะที่หมู่บ้านคีรีวง จุดสูดอากาศที่ดีที่สุดในเมืองไทย ที่ช่วงหลังมานี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
จองที่พัก ใน “นครศรีธรรมราช” ราคาประหยัด พร้อมโปรโมชั่น ที่นี่ >> คลิก! <<
#มังคุดคัด นครศรีธรรมราช
ผลมังคุดห่ามๆ ที่ยังไม่สุกดี เปลือกยังแข็งเป็นสีเขียว นำมาปอกเปลือกออกด้วยมีด จนเหลือแต่เนื้อขาวๆ แล้วจึงนำไปแช่ในน้ำปูนใส แล้วเสียบไม้ขาย#อร่อยไปแดก #อร่อยบอกต่อ #อร่อย #อร่อยจนต้องรีวิว #อร่อยนะรู้ยัง @aroii #ReviewThailand #รีวิวไทยแลนด์ pic.twitter.com/WaRgf9rcfY
— การท่องเที่ยวเชิงไฉไล (@Chailaibackpack) 9 เมษายน 2562
06.00 น. ออกเดินทาง!
เริ่มต้นออกเดินทางที่สนามบินดอนเมือง ด้วยตั๋วบินราคาประหยัดที่จองไว้ล่วงหน้ามานานโขอยู่เหมือนกัน แต่ในราคาเดินทางไป-กลับ รวมแล้ว = 160 บาท ย่อมเป็นอะไรที่ยอมรับได้ การเดินทางใน 1 วัน ที่มีเวลาท่องเที่ยวไม่ถึง 12 ชั่วโมง นับว่าคุ้มค่าที่น่าลองไปสัมผัสสักครั้ง
08.00 น. สวัสดี.. นครศรีธรรมราช!
เพียงชั่วโมงเศษ.. ก็เดินทางมาถึงจังหวัดนครศรีธรรมราช ในบรรยากาศที่ดูครึ้มฟ้าครึ้มฝน มีเมฆปกคลุมมาก ภาวนาอยู่ในใจไม่อยากให้ฝนโปรยปรายลงมา ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น ก็คงจะไม่ได้ไปไหนมาไหน ได้อย่างง่ายดาย และ การที่ไม่ได้วางแผนว่าจะไปเที่ยวตรงไหนบ้าง ทริปนี้ก็จึงดูเหมือนเรื่อยๆ เอื่อยๆ ชิลล์ๆ ไปตามอารมณ์เสียมากกว่า แต่ก็ไม่ได้..เรื่อยเปื่อยอะไรสักทีเดียว ในใจก็ยังพอมีจุดประสงค์สำคัญบ้าง นั่นก็คือ..จะไปไหว้พระธาตุ ที่พระมหาธาตุวรมหาวิหาร สักครั้ง
การเดินทางจากสนามบินนครศรีธรรมราช เข้าตัวเมือง ในระยะทาง 14 กิโลเมตร ก็เหมือนจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงเหมือนกัน (สำหรับการเดินทางคนเดียว) เพราะ ค่ารถจากสนามบินเข้าเมือง คิดราคา 300 /คัน แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางออกซะทีเดียว เพราะสามารถแชร์ค่าโดยสาร กับผู้ร่วมทางคนอื่นๆ ได้ หรือถ้าเดินทางกันมาเป็นกลุ่มเล็กๆ 3-4 คน ก็น่าพอเหมาะพอดี
08.45 น. โกปิ๊ โกปิ๊
ก้าวเท้าลงจากรถ มายืนอยู่หน้าศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช จุดหมายแรกของเช้าวันนี้ ก็คงไม่พ้นหาอะไรมาใส่ท้องเติมพลังเสียก่อน การนั่งเสริชหาร้านของกินอร่อยๆ ในตัวเมืองนครศรีธรรมราช จึงทำให้มาจบที่ร้านนี้ “ร้านโกปี๊”
เดินเข้าซอยข้างศาลากลางจังหวัด ไม่ไกล ก็เห็นอาคารตึกเก่าๆ ตกแต่งแนวจีนๆ ที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย มานั่งล้อมวงจิบกาแฟ ทานอาหารเช้ากันอย่างแน่นขนัด ที่นี่คือ.. “ร้านโกปี๊” ที่กำลังตามหาด้วยความหิวนั่นเอง ยืนกวาดสายตาสอดส่องมองหาโต๊ะว่าง สำหรับหย่อนก้น อยู่ไม่นานก็ได้โต๊ะว่าง โต๊ะๆ เล็กๆ ในมุมหนึ่งของร้าน ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า ช่วงเช้าๆ แบบนี้ได้รับความนิยมจากลูกค้าเป็นอย่างดี
เมนูของร้านก็มีให้เลือกมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นอาหารเช้า ชา กาแฟรูปแบบต่างๆ ซึ่งในช่วงที่คนมากมายเช่นนี้ ก็อาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อยอยู่เหมือนกัน แต่ด้วยความหิวที่ส่งเสียงเตือนมาเป็นระยะ และรุนแรงขึ้นทุกขณะ จึงเลือกสั่งกระจายโดยยังไม่ทันฉุกคิดว่าจะมีความสามารถยัดลงท้องหมดได้หรือเปล่า แต่..ก็ คิดว่าน่าไม่เกินความสามารถ
กาแฟ คือ สิ่งแรกที่ถูกเสริฟมาได้อย่างรวดเร็ว อันที่จริง..ความหอมกรุ่นของกาแฟ โชยมาแตะจมูกตั้งแต่เดินเข้ามาภายในร้านแล้วล่ะ และก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ สำหรับยามเช้าที่แสนจะงัวเงีย แบบนี้ โกปิ๊ชิโน่ กาแฟร้อน..กลิ่นหอม ตบด้วยชาเย็น สดชื่นๆ คงเรียกความกระปรี้กระเปร่าได้ไม่น้อย
ยังไงก็ต้องหาอะไรหนักท้องบ้าง ตามมาด้วย “บักกุ๊ดเต๋” ที่คนที่นี่เขามักจะนิยมรับประทานเป็นอาหารเช้า ซึ่งเมนู “บักกุ๊ดเต๋” นี่ก็คือ ซี่โครงหมูอ่อนตุ๋นในน้ำต้มสมุนไพร และเครื่องเทศ คาดว่าต้องต้มกันเป็นเวลาหลายชั่วโมงเลยทีเดียว เพราะแค่กลิ่นแตะจมูกก็พอรู้ซึ้งถึงความเข้มข้นแล้ว โรยหน้ามาด้วย เห็ดเข็มทองของโปรดเสียด้วยสิ!
“บักกุ๊ดเต๋” ทานคู่กับ ข้าวสวยร้อนๆ เมนูที่เห็นวางอยู่แทบทุกโต๊ะในร้าน
มาต่อกันที่ “ติ่มซำ” ก็มีให้เลือกอย่างหลากหลาย ตามความชอบ นึ่งมาร้อนๆ จิ้มกับซอสเปรี้ยว หรือ จิ๊กโฉ่ว
รู้สึกว่ายังไม่แน่นกระเพาะพอ ก็ตบท้ายด้วย “ไข่ลวก” เหยาะซอสแมกกี้หน่อย โรยพริกไทยนิด ใช้ได้!
10.20 น. วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร
อิ่มจาก “ร้านโกปี๊” นั่งสักพักให้พอท้องหายตึงหน่อย ก็เดินออกจากซอยข้างศาลากลางแล้วขวา 90 องศา เดินผ่านหน้าศาลากลางจังหวัด โดยมีจุดหมายถัดไป คือ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ซึ่งการเดินทางในครั้งนี้จะไร้ซึ่งแผนการเดินทาง แต่ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ก็คือจุดหมายหนึ่ง และ จุดประสงค์หลักของการเดินทางมาในครั้งนี้
เข้าสู่ช่วงสาย จากอากาศที่ดูครึ้มๆ เริ่มมีแดดส่องมากระทบพอให้เริ่มรู้สึกร้อนบ้าง เดินไปตามถนนราชดำเนิน มาประมาณ 800 เมตร ก็มาถึง “วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร” หรือ ที่ชาวนครเรียกว่า “วัดพระธาตุ” สถานที่สำคัญ ซึ่งเป็นมิ่งขวัญชาวเมือง นครศรีธรรมราชตลอดจนพุทธศานิกชนทั้งหลาย
และ สัญลักษณ์ของจังหวัดนครศรีธรรมราชที่รู้จักกันแพร่หลายก็คือ พระบรมธาตุเจดีย์ ซึ่งตั้งอยู่ภายในวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร เป็นที่บรรจุ พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า จึงนับเป็นปูชนียสถานที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของภาคใต้
หลบร้อน พักเหนื่อย เข้ามาไหว้พระภายในบริเวณวัดเพื่อความเป็นสิริมงคลกันสักหน่อย ที่วัดแห่งนี้มีพระพุทธรูปน้อยใหญ่ มากมาย แต่มีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์องค์หนึ่ง ซึ่งถูกเรียกว่า “พระแอด-ปวดหาย” พระกัจจายนะ (พระแอด) ที่เขาเล่าว่า … “ที่วัดพระมหาธาตุเมืองนครศรี มีพระศักดิ์สิทธิ์องค์หนึ่ง ที่เชื่อกันว่า ท่านมีอภินิหารบันดาลลูกให้แก่ผู้ที่ไปขอแบบที่ไม่เหมือนใคร ชาวบ้านเชื่อว่าหากใครปวดเมื่อย ปวดเอว ปวดหลัง นำไม้ไปค้ำยันที่ด้านหลังองค์พระ อาการปวดก็จะหายไปอย่างน่าอัศจรรย์” 1 ใน 24 เรื่องเล่า.. ที่ไม่ได้เล่าเพียงให้เราแค่เชื่อ แต่เล่าให้เราออกไปเห็น จะปวดหายได้จริงตามคำบอกเล่าหรือไม่นั้น เรื่องนี้ก็คงต้องเดินทางไปสัมผัสกันด้วยตัวเอง
บริเวณโดยรอบ พระบรมธาตุเจดีย์ จะมีเจดีย์องค์เล็กรายล้อมรอบองค์พระธาตุมากมาย เรียกว่า องค์เจดีย์บริวาร ซึ่งก็คือ เจดีย์ที่ลูกหลานบรรพบุรุษ ได้สร้างไว้สืบต่อกัน มาเรื่อยๆ เพื่อบรรจุอัฐิของญาติผู้ล่วงลับ โดยเชื่อว่าญาติของตนจะได้มาเกิด ในศาสนาของพระพุทธองค์อีกครั้งในภพหน้า
พระบรมธาตุเจดีย์ที่เห็นนั้น เป็นเจดีย์สถาปัตยกรรมแบบทรงระฆังคว่ำ มีจุดเด่นที่ยอดเจดีย์หุ้มด้วยทองคำแท้
ความมหัศจรรย์อย่างหนึ่งขององค์พระบรมธาตุ คือ องค์พระธาตุจะไม่มีเงาทอดลงพื้นไม่ว่าแสงอาทิตย์จะส่องกระทบไปทางใด
ในทุกๆ ปี “วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร” จะมี ประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ ซึ่งประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ ก็คือ การแห่ผ้าผืนยาว ไปบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยการนำขึ้นห่มโอบล้อมรอบองค์พระบรมธาตุเจดีย์แห่งนี้ เป็นประเพณีที่ชาวนครศรีธรรมราชและพุทธศาสนิกชนที่อยู่ในจังหวัดใกล้เคียง ยึดถือปฏิบัติสืบทอดกันมาเป็นเวลายาวนาน
เดิมการแห่ผ้าขึ้นธาตุนิยมจัดปีละสองครั้ง ในวันมาฆบูชา และ วันวิสาขบูชา โดยนำผ้าไปห่มองค์พระบรมธาตุเจดีย์ แต่ปัจจุบันนิยมทำกันในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 หรือ วันมาฆบูชา มากกว่า
11.00 น. เยือนบ้านท่านขุนรัฐวุฒิวิจารณ์
เดินข้ามถนนจากหน้า วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร เยื้องกันฝั่งด้านขวา ไปไม่เกิน 200 เมตร นั้นจะเป็น “บ้านท่านขุนรัฐวุฒิวิจารณ์” มีประวัติว่า.. สถานที่แห่งนี้เป็นบ้านเดิมของท่านขุนรัฐวุฒิวิจารณ์ และนั้นได้ยกให้กับหลานชื่อ คุณโกวิท ตรีสัตยพันธุ์ เพื่อทำเป็นโรงเรียน นครวิทยา หลังจากโรงเรียนปิดตัวลง ก็ได้รับการบูรณะปรับปรุงอนุรักษ์และซ่อมแซมบ้านให้มีสภาพคงความสวยงาม เป็นโบราณสถานเพื่อชนรุ่นหลังของชาวนคร
ขึ้นมาชมความงาม ของตัวอาคารซึ่งเป็นอาคารไม้ทั้งหลัง แต่จะมีส่วนของทางขึ้นเท่านั้นที่เป็นปูน นับเป็นเรือนปั้นหยาอายุกว่า 100 ปี ที่มีความสวยงามมาก เปิดให้เข้าชมฟรีทุกวัน
บ้านท่านขุนแห่งนี้ ได้รับรางวัลอนุรักษ์สถาปัตยกรรมดีเด่น ปี 2556 ประเภทเคหสถานและบ้านเรือนเอกชน จากสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์
บ้านทรงปั้นหยาเป็นเอกลักษณ์ของทางใต้ ซึ่งอาคารจะสามารถรับลมได้ทุกทิศทาง เพื่อระบายความร้อน การได้เดินชมในบ้านหลังนี้จึงรู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบาย ไม่ได้ร้อนอบอ้าวอย่างที่คิด ทั้งบ้าน และบรรยากาศ ตลอดจนของตกแต่งเก่าๆ ก็ทำให้รู้สึกเหมือนได้ย้อนอดีตกลับไปสัมผัสกับวันวานของสถานที่แห่งนี้
12.20 น. ขนมจีนพานยมต้องจัด!
ความหิวเริ่มย่างกรายเข้ามาอีกครั้ง.. เคยได้ยินผ่านหูมาบ้างว่าแถวนี้ “ขนมจีน” อร่อย และร้านขนมจีน ดังกล่าว ก็ไม่ได้อยู่ไกลจากหน้าวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารนี้สักเท่าไหร่ หลังจากเอ่ยปากถามคนท้องถิ่นแถวนั้น ก็ได้ความว่าร้านที่ว่ามานั้น อยู่ในซอยพานยม เยื้องกับวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร สามารถเดินไปได้ไม่ไกลนัก เพียงไม่นานก็มาถึง ร้านขนมจีนชื่อดังร้านหนึ่งของ จ.นครศรีธรรมราช นั่นก็คือ ร้านขนมจีนเมืองคอน-พานยม นั่นเอง ในช่วงเวลาเที่ยงคนค่อนข้างเยอะ จึงให้ความรู้สึกว่าเป็นร้านขนมจีนที่มีความครึกครื้น ดูไม่เงียบเหงา ได้โอกาสเล็งโต๊ะว่างและเดินไปจับจองที่นั่ง บนโต๊ะนั้นถูกจัดวางด้วย ผักและเครื่องเคียง ที่มีให้อย่างล้นเหลือ
จุดเด่นของขนมจีนที่นี่ คือ เป็น ขนมจีนแบบเส้นสด ที่เป็นเส้นเล็กๆ นุ่มๆ เคี้ยวสบายปาก และมีน้ำยาให้เลือกมากมายหลายอย่าง เป็นน้ำยาแบบชาวใต้แท้ๆ ที่รสชาติเข้มข้น เช่น น้ำยากะทิสูตรปักษ์ใต้ แกงไตปลา แกงเขียวหวาน ทานคู่กับผักสดที่มีให้เลือกมากมายเช่นเดียวกัน เสริฟมาเป็นชุด มีน้ำยาหลายแบบ ให้ได้ลิ้มลองรสของน้ำยาที่ได้อารมณ์แตกต่างกันไป
และ สิ่งหนึ่งที่เห็นสะดุดตา ก็คงจะเป็น “มังคุดเสียบไม้” หรือ ที่เรียกว่า “มังคุดคัด” จะเป็นได้ทั่วไปไม่ว่าจะเป็นที่ร้านขนมจีนแห่งนี้ หรือ วางในถาดเดินเร่ขายตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ จะมีให้กินมากใน ช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคม แต่ในช่วงเดือนอื่นๆ ก็ยังพอมีให้ได้ลองชิมด้วยเช่นกัน ซึ่ง “มังคุดคัด” นั้นเป็น การนำเอาผลมังคุดห่ามๆ ที่ยังไม่สุกดี เปลือกยังแข็งเป็นสีเขียว นำมาปอกเปลือกออกด้วยมีด (ซึ่งภาษาท้องถิ่นเรียกว่า “คัด”) จนเหลือแต่เนื้อขาวๆ แล้วจึงนำไปแช่ในน้ำปูนใส เพื่อล้างให้หมดยางและเพื่อให้มังคุดมีเนื้อสีขาวน่ากินมากขึ้น ก่อนจะนำไปผึ่งให้แห้ง แล้วนำมาเสียบไม้ขาย ด้วยความสนใจจึงลองหยิบขึ้นมาชิม 1 ไม้ ในราคา 20 บาท มังคุดคัดจะมีรสชาติอร่อยแตกต่างจากมังคุดสดตรงที่จะมีความหวานกรอบ สามารถกินได้ทั้งเนื้อและเมล็ด แค่กัดก็รู้สึกกรอบ แม้จะรู้สึกว่าไม่ได้หวานมากอย่างที่คิด ออกไปทางฝาดหน่อยๆ แต่มันก็รู้สึกเพลินในการกิน จนได้ข้อเสนอจากแม่ค้ามาว่า 3 ไม้ 50 บาท เพียงเท่านั้นแหละ อีก 2 ไม้ที่เหลือก็ตามลงท้องไป
ช่วงบ่าย.. ยังไม่รู้จะเดินทางไปที่ไหนต่อ เห็นรถสาย นครฯ – ปากพนัง วิ่งผ่านหน้า วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ความคิดวิ่งผ่านหัวเข้ามาว่า.. หรือ จะนั่งรถไปเที่ยวปากพนัง เล่นๆ และ อันที่จริงก็ไม่ได้รู้ข้อมูลอะไรเกี่ยวกับปากพนังเลย เมื่อได้ลองค้นหาข้อมูลด้วยความรวดเร็ว ก็เห็นว่า ปากพนัง อยู่ห่างจาก ตัวเมือง แค่ 30 กิโลเมตร เดินทางไม่นาน น่าจะลองไปดูบรรยากาศที่นั่นสักหน่อย เคยได้ยินแต่ชื่อ “ปากพนัง” แบบนี้ต้องลองไปดู เหมือนทุกอย่างจะง่ายดังใจคิด เดินออกมาจากร้านขนมจีน มายืนรอรถหน้าปากซอยติดถนนใหญ่ไม่นาน รถหวานเย็นซึ่งถ้าเปรียบเป็นคนก็คงอายุคราวลุง ค่อยๆ วิ่งมาเทียบจอดสนิทข้างถนน ให้ก้าวขาขึ้นไปเป็นผู้ร่วมเดินทางอีกสักคน
ด้วยความมั่นใจส่วนตัวที่ว่า ระยะทางกว่า 30 กิโลเมตรคงกินเวลาไม่นานนัก แต่พอได้สัมผัสกับความเร็วของรถ ก็พอที่จะประเมินเวลาในการเดินทางว่าอาจจะช้ากว่าที่คาดเอาไว้ และ รถหวานเย็นยังวิ่งไปด้วยความชิลล์ แวะรับ-ส่ง ผู้โดยสารตลอดการเดินทาง ถึงแม้จะดูช้าไปบ้าง แต่กลับได้เห็นวิถีชีวิตของคนท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี
14.15 น. ข้ามฟาก-ปากพนัง
นั่งคิดอะไรเพลินๆ ก็เดินทางมาถึงปากพนังโดยไม่รู้ตัว รถโดยสารมาจอดสุดสายตรงที่ท่าเรือข้ามฝาก ฝั่งตรงข้ามจะเป็น “ตลาดร้อยปี” ซึ่งก็น่าสนใจที่จะลองข้ามไปดูเหมือนกัน ค่าเรือข้ามฟากที่นี่ราคาถูกมากเพียงแค่ 1 บาทเท่านั้น! กับการนั่งข้ามฟากประมาณ 5 นาที มาเที่ยวชมวิถีชีวิตที่ลุ่มน้ำปากพนัง
มา “ปากพนัง” ต้องได้ยินเสียง นกร้องเซ็งแซ่ ก็เพราะที่นี่เป็นแหล่ง ของนกนางแอ่น จำนวนมากที่มาทำรัง ตามบ้านเรือน อาคาร และตึกแถวต่างๆ จนถึงขนาดต้องยกอาคารเหล่านั้นให้เป็นที่อยู่อาศัยของนกนางแอ่นเลยทีเดียว!
วิถีชีวิตที่เห็นจนเป็นภาพชินตาของชาวบ้าน ลุ่มน้ำปากพนัง
ข้ามมาฝั่ง “ตลาดร้อยปี” ได้ไม่นาน สายฝนก็โปรยปรายลงมาตอนรับการมาเยือน คงอัดอั้นครึ้มฟ้าครึ้มฝนมาทั้งวัน ได้เวลาปลดปล่อยเสียที แต่น่าแปลก ที่กลับได้บรรยากาศการพักผ่อนรู้สึกเย็นชุ่มฉ่ำสบายไปอีกแบบ
สายฝนที่โปรยปราย เกิดเป็นการบังคับ ให้หาที่กำบังฝนให้กับตัวเอง และเลี่ยงไม่ได้ที่จะหาร้านอาหารริมน้ำสักร้านนั่งหลบฝน ด้วยบรรยากาศดีๆ และช่วงบ่ายแก่ๆ ที่เริ่มหิวอีกครั้ง อาหารถูกให้สั่งมาวางบนโต๊ะริมน้ำ เมนูปลาทอด และ น้ำพริกผักสด ถูกเสริฟมาพร้อมกับ เครื่องดื่มแก้กระหาย
ฝนตกพรำๆ ที่ลุ่มน้ำปากพนัง อากาศเย็นชุ่มฉ่ำ จิบเบียร์บางๆ ได้อารมณ์ของการพักผ่อนเป็นอย่างดี
ไม่นานฝนก็หยุด พร้อมกับของเหลวในขวดที่กำลังดื่ม..หมดลงพอดีเช่นกัน ความสดชื่นของฟ้าหลังฝนก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ได้เวลาออกไปเดินเล่นชมตลาดกันสักที ที่ฝั่งตลาดร้อยปีปากพนังนี้..จะเห็นตึกรามบ้านช่องที่มีรูปทรงของตึกแบบยุโรปผสมสถาปัตยกรรมแบบจีนโบราณ แม้จะอายุนับ 100 ปี แต่..ยังคงความสวยงาม จากอดีตสู่ปัจจุบัน
ตลาด 100 ปี เมืองปากพนัง เป็นตลาดที่มีประวัติยาวนานนับร้อยปีสมชื่อ สินค้าที่วางขายส่วนใหญ่จะเป็นพวกอาหารทะเลสดๆ รวมไปถึงขายผัก ผลไม้ รวมไปถึง อาหารทะเลแห้งต่างๆ ที่สามารถซื้อนำกลับไปเป็นของฝากได้ และก็มีตลาดริมน้ำที่สามารถมาเดินซื้อหาของกินเล่น ก็ได้บรรยากาศเช่นกัน
17.00 น. ลาแล้ว “ปากพนัง”
เดินเล่นเที่ยวตลาดเสร็จเรียบร้อย ก็ได้เวลานั่งเรือข้ามฝากกลับไป ในราคา 1 บาทเช่นเดียวกับขามา
ใกล้จะหมดเวลา 1 วัน ของการเที่ยว นครศรีธรรมราช ระหว่างนั่งเรือข้ามฟาก ก็เก็บบรรยากาศยามเย็นในช่วงสุดท้าย ก่อนที่จะนั่งรถโดยสารหวานเย็นสายเดิมกลับเข้าสู่ตัวเมืองนครศรีธรรมราช และ ต่อรถยาวไปยังสนามบินนครศรีธรรมราชเลย ด้วยเกรงว่าจะไม่ทันเที่ยวบินขากลับ ซึ่งเมื่อถึงสนามบินก็ได้เป็นเวลาที่ต้องร่ำลา “เมืองคอน” พอดี
ทั้งหมดนี้.. ก็เป็นการเดินทางเที่ยว “นครศรีธรรมราช” ใน 1 วัน แม้จะเป็นช่วงเวลาอันน้อยนิด แต่ก็ได้เห็นวิถีชีวิต และธรรมชาติที่สวยงาม มีบรรยากาศน่าพักผ่อน และถ้าหากมีโอกาส ต้องกลับไปเยือน “เมืองต้องห้าม…พลาด” แห่งนี้ อีกครั้ง!
สำหรับใครอยาก จองที่พัก นครศรีธรรมราช คลิกที่นี่! ได้เลยครับ มีที่พักให้เลือกมากมาย หลากหลายราคา จองง่าย ชำระเงินได้สะดวกมากๆ ครับ
การท่องเที่ยวเชิงไฉไล | CHAILAIBACKPACKER
Fanpage : https://www.facebook.com/chailaibackpacker
Instagram : CHAILAIBACKPACKER
Twitter : @chailaibackpack / goo.gl/VIBXC9