ปั่น/กิน/เที่ยวแบบ Slow life ที่หลวงน้ำทา สปป.ลาว

SHARE!

พาไปปั่น/กิน/เที่ยวแบบ Slow life ที่ หลวงน้ำทา สปป.ลาว

มันเริ่มขึ้น จากบทสนทนาแชทกลุ่มบน Facebook ที่คุย  เรื่องสัพเพเหระตามประสาของกลุ่มเพื่อนผู้ชาย คุยกันเรื่อยเปื่อย จนมาถึงเรื่องออกทริปกัน เมื่อมีใครคนหนึ่ง เสนอ ขึ้นมาว่า.. ไปเที่ยว “ลาว” มั้ย?

“ลาว” สำหรับกลุ่มพวกเราแล้วนั้น ถือว่า เป็นประเทศที่เราไปกันบ่อยมากๆ ในทุกๆ ปีที่ไปเที่ยวกัน มักจะมีประเทศลาวอยู่ 1-2 ทริปอยู่เสมอ ถือว่าเป็นประเทศที่เราต่างมีความเห็นตรงกัน ว่า “ชอบ” ในการไปเที่ยวประเทศนี้เป็นอย่างมาก เมื่อตกลงที่จะไป “ลาว” กัน คำถามต่อมา คือ อยากไปที่ไหน ? ไปเที่ยวส่วนไหนของประเทศลาว ? ไปเมืองไหน? รู้แค่อยากไปลาว แต่ก็ยังไม่รู้จุดหมายปลายทางว่าจะไปที่ไหนดี.. เพราะหลายๆ เมือง(ยอดนิยม) ใน “ลาว” นั้นเราก็เคยไปกันมาหลายรอบ แล้ว!!
แต่แล้ว..ในจังหวะนั้น มีโปรโมชั่นของสายการบิน Thai Lion Air มาพอดี บินไปเชียงรายในราคาประหยัด ก็เอาว่ะ “ไปลาวเหนือ” !! จัดไปเชียงรายเลยแล้วกัน .. แล้วออกไปเที่ยวลาวทาง เชียงของ > บ่อแก้ว ส่วนจุดหมายปลายทางที่ไหนนั้น เดี๋ยวไว้ตกลงกันอีกทีเมื่อได้คุยตกลง กันเป็นที่เรียบร้อย จัดหาเวลาการเดินทางที่ตรงกัน  วันลางาน จนมาจบลงตรงที่เรามีเวลากัน แค่ 3 วัน 2 คืน ดูเหมือนจะมีเวลาน้อยเกินไปสำหรับเส้นทางนี้ ที่หวังกันในตอนแรกว่า จะไปเที่ยวเส้นทาง บ่อแก้ว > หลวงน้ำทา > เมืองสิงห์ >เมืองงอย อยากจะไปพักผ่อน ท่ามกลางธรรมชาติ ที่ เมืองงอย แต่เมื่อตัดช่วงเวลาการเดินทางบนรถ อันแสนยาวนาน กับเวลาอันน้อยนิด ความน่าจะเป็นในตอนนี้ คือ คงไปได้แค่ “หลวงน้ำทา” เท่านั้น
สรุป.. โปรแกรมการเดินทางของเรา  3 วัน 2 คืน เป็นโปรแกรมที่ยืดหยุ่น ตามสถานการณ์ และรอบรถ(ในลาว)จริงๆ โดยมีแพลนคร่าวๆ ก็คือ ไปถึงเชียงรายแล้วก็มุ่งไปที่ เชียงของ เพื่อ ข้ามฟาก ไปฝั่งลาวที่บ่อแก้ว แล้ว นั่งรถไป หลวงน้ำทา เลย จุดหมายของเรา ในทริปนี้ แน่ๆ ก็ คือ “หลวงน้ำทา” ส่วนจะ เที่ยวที่ไหนบ้าง ก็คงขึ้นอยู่สถานการณ์ ครับ 55+ ซึ่ง คร่าวๆ อาจเป็นดังนี้
วันแรก – เดินทางทั้งวัน ถึง “หลวงน้ำทา” ช่วงเย็นๆ
วันที่สอง – เที่ยวในเมืองหลวงน้ำทา (หรือ ไปเที่ยวที่เมืองสิงห์ด้วย)
วันที่สาม – เดินทางทั้งวัน ในการเดินทางกลับ
(ดูเหมือน จะเหนื่อยเลยนะครับ ฮ่าๆ ใช้เวลาไปกับการเดินทางอย่างเดียวเลย)รีวิวนี้จึง เป็นรีวิวสั้นๆ.. ไฉไลแบ็คแพ็คเกอร์ จะพาไปเที่ยว “หลวงน้ำทา” แบบสบายๆ นะครับ อาจจะเก็บที่เที่ยวไม่ครบทุกที่ เป็นทริปที่ออกเที่ยว ไปหาที่สงบๆ พักผ่อน เสียมากกว่า.. ทริปนี้ผมออกเดินทางไปกับเพื่อนร่วมทริปอีก 2 คน ครับ รวมเป็นทั้งหมด 3 คน ซึ่งการเดินทางไปครั้งนี้ เราก็ทำการบ้านมาพอสมควรกับการเดินทางในเส้นทางนี้ แต่ก็อย่างว่า ตามข้อมูล ที่รอบรถ จากข้อมูลในอินเตอร์เนต อาจจะไม่ได้อัพเดต หรือมีการเปลี่ยนแปลง เราจึงต้องอาศัยไปดูที่ “หน้างาน” เอาครับ ตามสถานการณ์จริงๆ ดังนั้น.. เพื่อเป็นการไม่เสียเวลา… แบกเป้ ออกเดินทาง ไปกับพวกเรา กันเลยครับ..  !!!
“หลวงน้ำทา” เป็นเมืองที่อยู่ทางตอนเหนือของลาว ติดชายแดนจีน สภาพอากาศจึงค่อนข้างที่จะเย็นสบาย อยู่ห่างจากบ่อแก้ว (ชายแดนตรงข้ามเชียงของ ของประเทศไทย) ประมาณ 190 กว่ากิโลเมตร แต่ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง เป็นเส้นทาง R3a  ทางคดเคี้ยวไปตามเชิงเขา ถนนที่ใช้สัญจรนั้น ลาดยางอย่างดี เดินทางได้รวดเร็ว สะดวกสบายมากกว่าเมื่อก่อน.. ส่วนใหญ่ คนที่เดินทางมาที่หลวงน้ำทา มักจะมาเพื่อ “พัก” จะผ่านด่านบ่อเต็น เข้าไปต่อ สิบสองปันนา หรือ ไปค่อคุนหมิง ประเทศจีน หลวงน้ำทา จึงดูเหมือนเป็นเมืองที่เป็นทางผ่านสำหรับนักเดินทางท่องเที่ยวเท่านั้น.. จะเห็นนักท่องเที่ยวที่เมืองนี้น้อยมากครับ ส่วนพวกเรานะเหรอ? ขอตั้งใจลองมาเที่ยวเมืองนี้ดูล่ะกันครับ.. ครั้งแรกเลยกับ “หลวงน้ำทา” ถือว่า มาสำรวจเส้นทาง ก่อน จะออกเดินทางมาที่นี่อักครั้ง เพื่อผ่านไป เที่ยวจีน ในอนาคตครับ..

 

Start !! เราเริ่มต้นออกเดินทางกันที่สนามบินดอนเมือง นัดแนะกับสมาชิกเรียบร้อย
บรรยากาศสนามบินดอนเมืองยามเช้า ท้องฟ้าสดใส
ออกเดินทางจากดอนเมือง เวลา 08.20 น.สู่จุดหมายปลายทาง ที่ “จ.เชียงราย”

 

ออกเดินทางช่วงวันหยุดยาว ผู้โดยสารที่มาใช้บริการสนามบินค่อนข้างเยอะครับ เข้ามารอใน Gate เตรียมออกเดินทาง
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 10 นาที Thai Lion Air มีบริการเลือกที่นั่งฟรี ตอนเช็คอินทางเวปสามารถเลือกที่นั่งได้ ชอบนั่งท้ายๆ เครื่องครับ คนน้อยๆ..ดูไม่แออัดดี.. ” สมาชิก พร้อมลุย .. !! “

ใช้เวลาไม่นานนัก..ก็เดินทางมาถึง “สนามบินแม่ฟ้าหลวง” จ.เชียงราย ครับ จากนั้น เราก็หารถ เพื่อที่จะไป ขนส่งใหม่(ตะเคียนคู่) เพื่อหารถไปเชียงของครับจากสนามบินจะเข้าเมืองกันยังไง?“มีแท๊กซี่สนามบิน บริการส่งเข้าเมืองครับ ราคา 200 บาท ต่อเที่ยว ต่อหนึ่งคัน หรือ แนะนำให้เดินออกมาตรงบริเวณลานจอดรถ หน้าสนามบินครับ มีวินแท๊กซี่จอดอยู่ คิดราคาจากสนามบินเพิ่ม +30 บาท ที่เหลือคิดตามมิเตอร์ กิโลเมตรละ 10 บาทครับ..” หรือ… ถ้าโทรไปที่ศูนย์แท๊กซี่ให้มารับ จะคิดเพิ่ม +20 บาท ที่เหลือคิดตามมิเตอร์ กิโลเมตรละ 10 บาทครับ ” เราเลือกแท๊กซี่สนามบิน ให้ไปส่งที่ ขนส่งใหม่ ราคามิเตอร์คิดเป็นกิโลเมตร สุดท้ายจ่ายที่ 200 บาท ไม่ต่างกัน.. กับการเหมาเลย ฮ่าๆ

มาดูรอบรถ ตามข้อมูลรู้สึกจะมีรถโดยสารระหว่างประเทศ จากเชียงราย ข้ามไปถึง บ่อแก้ว(ลาว)

ขณะนี้เวลาประมาณ 11.00 น. เราพลาดรถเที่ยวเช้าเข้าบ่อแก้ว อย่างจัง!! จะมีอีกทีก็ตอนช่วงบ่ายๆ ซึ่งถ้าถึง “บ่อแก้ว” แล้ว ก็ไม่น่าจะทัน รอบรถ จากบ่อแก้ว ไป หลวงน้ำทา อย่างแน่นอนในขณะ ที่ยังคิดว่าจะเอายังไงต่อดี แต่แล้ว..ก็ได้ยินเสียงสวรรค์ พี่พนักงานขายตั๋ว ตะโกนถามมาว่า …“จะนั่งยาวไป หลวงน้ำทาเลยมั้ย? มีรถ เชียงใหม่-หลวงพระบาง จะแวะมาที่นี่ มีที่นั่งว่างพอดี” เราตกลงโดยทันทีเลยครับ รถจะมาถึงตอนเที่ยงตรง ได้นั่งยาวจากเชียงรายไปถึงหลวงน้ำทาเลย ไม่ต้องไปต่อรถที่บ่อแก้ว ก็สะดวกสบายดีเหมือนกันนะ..

ซื้อตั๋วเสร็จเรียบร้อย ก็หาข้าวหาปลากินกันครับ อาจจะใช้เวลาเดินทางนานหน่อยกว่าจะถึง ต้องกินให้อิ่มเต็มที่กันไปเลย..ไม่นานนักรถก็มาถึงครับ ตรงเวลาเป๊ะ! เป็นรถ เชียงใหม่ – หลวงพระบาง ครับ

ตั๋วจากเชียงราย ไป หลวงน้ำทา ราคา 500 บาท คิดว่าคุ้มเหมือนกันนะครับ ไม่ต้องไปต่อรถ หรือ ลงเรือข้ามฝั่ง ให้เสียเวลา นั่งยาวๆ ไปถึง หลวงน้ำทา เลย.. ต้องใช้พาสปอร์ต ในการซื้อตั๋วด้วยนะครับ..

 

 500 บาท ไม่ได้มีแค่ตั๋วนะครับ.. ยังมี “ชุดยังชีพบนรถ” แบบ มินิๆ.. มาซะด้วยประกอบไปด้วย น้าดื่ม+ขนม+ผ้าเย็น(แต่ไม่มีความเย็น) 55+

บนรถจะระบุที่นั่งมาเลยครับ ที่ใครที่มัน ไม่มีแย่งกันแน่นอน นั่งพอเคลิ้มๆ ใกล้จะหลับ ประมาณ 2 ชั่วโมง ก็มาถึง “ด่านเชียงของ” รถจะจอดให้เราเอาพาสปอร์ตไป ปั๊ม เพื่อออกนอกเมืองครับ..

เสร็จแล้วก็นั่งรถ ข้าม สะพานมิตรภาพแห่งที่ 4 เชียงของ – ห้วยทราย(บ่อแก้ว) ข้ามไปยังด่านฝั่งลาว รถก็จอดให้เราไป ปั๊มพาสปอร์ต เพื่อเข้าลาวช่วงนี้เป็นช่วงที่เสียเวลาค่อนข้างมากครับ เป็นชั่วโมงเลย กว่าจะเสร็จกันหมดทุกคน

 

ออกเดินทางจากเชียงรายตั้งแต่ 12.00 น. เราจะใช้เวลาในการเดินทางทั้งสิ้น ประมาณ 6-7 ชั่วโมงระหว่างทางในประเทศลาวที่ไปสู่ เมืองหลวงน้ำทา นั้น เป็นเส้นทางที่ค่อนข้างคดเคี้ยว แต่เป็นถนนที่ลาดยางอย่างดี เพราะสร้างเสร็จได้ไม่นาน ทำให้การเดินทางราบรื่น และสะดวกสบาย สำหรับคนเมารถง่าย ก็อาจจะมีมึนๆ บ้างเป็นธรรมดา แต่สองข้างทาง ก็เป็นธรรมชาติ นั่งชมวิวสองข้างทางจนพระอาทิตย์ค่อยๆ ตกดินลับขอบฟ้าหลังเขาเกือบจะถึง “หลวงน้ำทา” เด็กรถก็เดินมาเตือนเราให้เตรียมลงรู้สึกว่าจะมีเพียงพวกเราแค่ 3 คนเท่านั้น ที่จะลงกลางทาง ที่ หลวงน้ำทา นี้ และ ทั้งหมดบนรถจะไปกันต่อที่ จุดหมายปลายทางที่หลวงพระบางรถมาจอดส่งเราที่กลางทุ่งแห่งหนึ่ง ตอนแรกรู้สึกงงมาก ความรู้สึกแรก คือ มันเงียบและกันดารอย่างนี้เลยหรือ?ไม่มีแม้บ้านคน และแสงไฟ รอบด้านมืดสนิท (แต่มีหิ่งห้อยเต็มไปหมดเลยนะ สวยมากๆ) เมื่อไม่แน่ใจเลย วิ่งไปถามเด็กรถอีกรอบ ปรากฏว่ายังไม่ถึง..อ้าว มาปล่อยกันลง ตรงนี้ซะงั้น..!! 555+ สรุปนั่งต่อไปอีกหน่อย ก็เข้าไปจอดที่ ท่ารถ “หลวงน้ำทา” สำหรับคนที่นั่งไป หลวงพระบางต่อ ก็จะแวะ ทานข้าวเย็นกันตรงนี้ แล้วถึงไปต่อส่วนเรา 3 คนก็ หารถเข้าไปในเมือง ก็จะมีรถโดยสารเล็กๆ รับคนไปส่งในตัวเมือง ซึ่งต้องเข้าไปอีก ประมาณ 7 กิโลเมตร นั่งรอรถออก สรุปมีแค่ 3 คน+ฝรั่งอีก 1 คน คิดคนละ 20000 กีบ หรือ 80 บาท (ปกติน่าจะ 40 บาท แต่เที่ยวนี้คนหารน้อยครับ) นั่งสักพัก รถก็มาส่งตรงใจกลางเมือง หน้าตลาดมืดหลวงน้ำทามาถึงก็ประมาณ 2 ทุ่มแล้ว เลยหาโรงแรมก่อน ก็เลือกโรงแรมที่อยู่ตรงข้ามตลาดเลย ชื่อ โรงแรมคำกิ่ง ห้องนอนสำหรับ 3 คน 100000 กีบ หรือ 400 บาท มีแอร์ ทีวี เครื่องทำน้ำอุ่น คีย์การ์ดเข้า-ออก ราคานี้ถือว่าโอเค..!! ห้องกว้าง แอร์เย็น นอนสบาย ใกล้ตลาด ตกคนละ 130 บาท ต่อคืน เราจะนอนทีนี่กันทั้งสองคืนเลย..
เก็บของเสร็จ..ก็เดินข้ามถนน เข้าไปที่ “ตลาดมืด หลวงน้ำทา”หาอะไรกินหน่อย หิวกันแล้ว!!
ในตลาดจะมีของกิน อาหารต่างๆ ขายมากมายเลยครับ โดยร้านจะตั้งรอบๆ เป็น วงกลม แล้วจะมีม้านั่ง ไว้นั่งกินอยู่ตรงกลาง จะซื้อร้านไหน .. ก็มานั่งกินตรงกลางรวมกันได้.. ส่วนใน คืนนี้.. คนเยอะมากๆ..
ขาดไม่ได้ เมนูหลัก “ส้มตำ+ผัดหมี่”
พวกลูกชิ้นปิ้งย่าง ไม้ละ 2000 กีบ (8 บาท)อาหารที่ลาว ขึ้นชื่อว่า แพงอยู่แล้วครับ ไม่ว่าจะเมืองไหน 55+ (แต่ก็รับได้อยู่นะ ฮิฮิ^^)

 

อยากกินอะไรร้อนๆ ต้อง “เฝอ” สิครับสั่ง “เฝอเนื้อ” มากิน ราคา 15000 กีบ (ุ60 บาท) บ้านเราชามเท่านี้ถือว่าแพงนะ 55 ได้เนื้อมานิดเดียว.. แต่เส้นเหนียวนุ่ม น้ำซุปร้อนๆ อร่อยมากๆ.. กลมกล่อม ถ้าให้ดี บีบมะนาว หักพริกสดๆ ใส่ล่ะ แซ่บทีเดียว..(ที่ลาวตามร้านอาหารต่างๆ จะมีกระปุกเครื่องปรุง ไว้ให้ปรุงหลากหลายมาก) และทีเด็ดอีกอย่าง “กะปิ” ครับ ใส่ลงไปนิดๆ แซ่บขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อเลยล่ะ.. ^^
ผลไม้ต่างๆ ก็มีขายใกล้ๆ ตลาด
ตรงสี่แยก จะมีร้านอาหารชื่อ “ครัวไท” เป็นร้านอาหารจานด่วน ข้างในติดแอร์ มี Free wifi จะเข้ามานั่งทานอาหาร หรือ ดื่มเบยลาวชิลล์ๆ ก็ได้นะครับ

 

แผนที่ หลวงน้ำทาเป็นแผนที่คร่าวๆ นะครับที่ผมถ่ายมาอีกทีกับแผนที่ที่แปะ ตรงฝาผนังของโรงแรมครับ โรงแรมคำกิ่ง ที่เราพัก จะอยู่ตรงข้ามกับ ตลาดมืด เลยเลยไปตรงสี่แยกทางทิศเหนือ ไม่ไกลจากตลาดมืด ก็จะเป็น ร้านครัวไท ครับ ส่วน Dragon Pub ตรงทางแยกด้านล่าง เป็นผับกินดื่มของที่นี่ เดี๋ยว จะมาพูดถึงรายละเอียดอีกทีนะครับส่วนด้านบน ก็คือ “ทาดหลวงน้ำทา” ทาดประจำหลวงน้ำทาที่ต้องแวะไปชมครับ (นอกจากนี้ก็ยังมี ทาดเก่า, พิพิธภัณฑ์, น้ำตก และ ตลาดเช้าให้เที่ยวด้วยนะ..)บรรยากาศยามเช้า ที่ ตัวเมือง หลวงน้ำทา จะค่อนข้างเงียบๆ สงบๆ และ ถนนโล่งๆ
เดินเล่น สำรวจเมือง และ ชมบรรยากาศ
แผนที่หลวงน้ำทาบริเวณ “ล๊อบบี้” ของโรงแรมคำกิ่ง มีบริการ ชา กาแฟ และ Free wifi (ขาดไม่ได้ 55)

 

ติดกับ โรงแรมคำกิ่ง เป็นร้านขาย สุรา และเบียร์ นะครับ
เผื่อใครสนใจจะซื้อหาเป็นของฝากได้..^^อย่างเช่น “สุราบ่อแก้ว” ขวดนี้ 20000 กีบ หรือ 80 บาท

 

ร้านครัวไท .. สำหรับคนที่ไม่ค่อยชอบอากาศร้อน ลองมานั่งที่ร้านนี้ได้นะครับ มีอาหารให้เลือกหลากหลายเป็นอาหารจานด่วนมีทั้ง อาหารฝรั่ง ไทย ลาว ครบ ชอบแบบไหนก็จัดไปได้ มีน้ำดื่มเย็นๆ ให้กดฟรีครับ ไม่ต้องเสียตังค์เพิ่มหรือมานั่งตากแอร์เย็นๆ ดื่มเบียร์เล่น Wifi ก็ได้ครับ
จะสั่งอาหารแบบเป็นจาน หรือ เป็น Set ก็มีครับ ราคาไม่ต่างจากตลาดมืด หรือ ร้านทั่วไป เลย แต่นั่งสบายกว่าเยอะ 55+จุดสังเกต หน้าร้าน ครัวไท ครับ.. เช็คอิน..เลย “หลวงน้ำทา”

 

โปรแกรมวันนี้..ในตอนแรกเรา มีความคิดว่าจะไปเที่ยว “เมืองสิงห์” กันต่อ ซึ่งห่างจากที่นี่ประมาณ 60 กิโลเมตร เป็นเมืองที่ติดกับชายแดนประเทศจีนแต่หลังจากที่ลองสอบถามการรถไปนั้น..ค่อนข้างที่จะหารถไปลำบาก ต้องออกไปขึ้น บขส.ที่อยู่นอกเมือง และใช้เวลาเดินทางพอสมควร (คิดว่าเวลาไม่น่าพอ แบบว่าเดินทางมาตลอดทั้งทริปแล้ว อยากพักหายใจบ้าง 55) หรือ ถ้ามีรถก็ต้องเหมาไปแบบราคาแพง ก็เลยเอาไว้ก่อนดีกว่า..ตัดสินใจ.. มาเช่าจักรยาน ปั่นเที่ยวรอบเมืองหลวงน้ำทาดีกว่า เห็นในแผนที่ ก็มีหลายที่ที่น่าสนใจเหมือนกัน โดยสามารถที่จะปั่นรอบทั้งเมืองได้ เพราะเมืองหลวงน้ำทาเป็นเมืองเล็กๆ บรรยากาศรอบๆ เมืองก็ดี ปั่นดูธรรมชาติ ดูวิถีชีวิตก็ได้อารมณ์ชิลล์ๆ ไม่น้อย มีร้านให้เช่าจักรยาน อยู่ข้างๆ กับโรงแรมที่เราพักเลยครับ..
บริการเช่าเป็นวัน.. จักรยานแบบแม่บ้าน 40 บาท แบบมีเกียร์ 60 บาท เลือกแบบหลังแล้วกัน รู้สึกรอบๆ เมืองนี้เห็นอยู่หลายเนินเหมือนกันที่ต้องปั่นข้าม
จัดไปคนละคัน.. ไม่ใช้สลิง ไม่ใช้สตั๊นท์ ไม่ใช้ครีมกันแดด พร้อมลุย!!!

 

ถ้ามีโอกาสคงได้มาเยือนอีกรอบนะ และคงได้ผ่านไปเที่ยวถึงเมืองงอยด้วย (เพราะครั้งนี้ไปไม่ถึง 55+) และ คงได้มีโอกาสผ่านไปเที่ยวจีน (ในอนาคต ฮิๆ) ก็เป็นรีวิวสั้นๆ ไฉไลแบ็คแพ็คเกอร์ พาไปเที่ยว แบ่งปันข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ให้กับเพื่อนๆ ที่สนใจไปเที่ยวกันนะครับ อย่าลืมกดแชร์ชวนเพื่อนๆ ไป Slow Life กันได้นะ!! ..ขอจบรีวิว การเดินทางเที่ยว “หลวงน้ำทา” เพียงเท่านี้นะครับ ขอบคุณที่เข้ามาชมกันนะครับ..ไว้เจอกัน ทริปหน้าเด้อ ซี ยู อะ เกน.. สะบายดี!