เที่ยวญี่ปุ่น : ซากะ และ นางาซากิ จังหวัดน่าเที่ยวแห่งคิวชู

SHARE!

ญี่ปุ่น ทริปนี้ เราได้กลับมาเยือน ภูมิภาคคิวชู(Kyushu) อีกหนึ่งภูมิภาคน่าเที่ยว ที่อยู่ทางตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่นกันอีกครั้ง โดยครั้งนี้ ได้มาเที่ยวในพื้นที่ จังหวัดซากะ(Saga) และ นางาซากิ(Nagasaki) ในช่วงเดือนตุลาคม 2566 ที่อากาศเริ่มเย็นๆ เตรียมเข้าสู่ช่วงของฤดูกาลของใบไม้เปลี่ยนสี จะไปที่ไหนบ้าง..? ก็ตามมาเที่ยวด้วยกันได้เลย!

สำหรับใครสนใจไปเที่ยว “ญี่ปุ่น” ก็สามารถลองเข้าไปชมโปรแกรมที่ถูกใจได้ที่ #NidnoiTravel หรือ ตามลิงค์นี้เลย! : https://www.nidnoitravel.com/intertours/japan/

จังหวัดซากะ (SAGA)

เริ่มต้น ออกเดินทางจาก กรุงเทพฯ สู่ ฟุกุโอกะ ภูมิภาคคิวชู ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมง เมื่อมาถึง สนามบินฟุกุโอกะ(Fukuoka Airport) ก็เดินทางต่อไปยัง จังหวัดซากะ(Saga) จุดหมายแรกของการเดินทางในครั้งนี้

YUTOKU INARI SHRINE (ศาลเจ้ายูโทคุอินาริ) ศาลเจ้าของศาสนาพุทธนิกายชินโต สร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ.1688 ถือเป็นศาลเจ้าอินาริที่มีความสำคัญและขนาดใหญ่ 1 ใน 3 ของญี่ปุ่น รองมาจากศาลเจ้า Fushi-mi Inari Shrine ใน Kyoto และศาลเจ้า Kasama Inari Shrine ใน Ibaraki

“ศาลเจ้ายูโทคุอินาริ” สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับของเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ผู้ประทานผลผลิตทางการเกษตรให้อุดมสมบูรณ์ จึงมีผู้คนนิยมเข้ามาสักการะขอพร เพื่อให้การทำการเกษตร การเก็บเกี่ยวพืชผล ตลอดจนการดำเนินธุรกิจต่างๆ สำเร็จไปได้ด้วยดี

เมื่อเดินทางมาถึง “ศาลเจ้ายูโทคุอินาริ” ด้านหน้าจะมีสะพานสีแดงข้ามไปยังฝั่งตัวศาลเจ้า สามารถมองเห็นความอลังการของตัวศาลเจ้าสีแดงขนาดใหญ่ที่แวดล้อมด้วยธรรมชาติ

ถ้าได้ขึ้นไปด้านบนของตัวศาลเจ้า ก็จะพบกับจุดชมวิวที่น่าสนใจอีกหนึ่งของจังหวัดซากะ แนะนำว่าควรมาเที่ยวในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี หรือ ช่วงที่ดอกซากุระบาน จะเจอวิวที่สวยงามแบบสุดๆ เลย

ศาลเจ้าแห่งนี้ คนไทยเราคงคุ้นหน้าคุ้นตากันบ้าง เพราะเป็นสถานที่ถ่ายทำฉากหนึ่งในละครกลกิโมโน และฉากตอนจบของ ซีรีส์ Stay ซากะ…ฉันจะคิดถึงเธอ ก็ถ่ายทำที่นี่เช่นกัน

อย่าลืม!! ใครสายมู มาถึงที่นี่แล้ว ก็ต้องหาซื้อเครื่องรางติดตัวกลับไป เพื่อให้มีความโชคดี สมหวังตามความปรารถนา

แวะรับประทานอาหารเที่ยง กับเมนู “เต้าหู้หม้อไฟ” เมนูเด็ดของเมืองนี้

Bougain House Ureshino ブーゲンハウス嬉野 เป็นสวนเฟื่องฟ้าที่อยู่ในเมืองออนเซ็นขึ้นชื่ออย่าง อุเรชิโนะ(Ureshino) ในจังหวัด Saga ที่เราได้มีโอกาสมาเยือนในทริปนี้(ตุลาคม 2566) เป็นสวนเฟื่องฟ้าที่อยู่ในโรงเรือนกระจกขนาดใหญ่ ที่สามารถปรับอุณหภูมิ และสภาพอากาศให้เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของเฟื่องฟ้า จึงสามารถมาเที่ยวชมดอกเฟื่องฟ้าได้ตลอดทั้งปี

● ช่วงแนะนำ : เดือนพฤศจิกายน

ภายในเรือนกระจก มีต้นเฟื่องฟ้า ประมาณ 400 ต้น จากกว่า 25 สายพันธุ์ บานสะพรั่งตลอดทั้งปีปกคลุมเป็นอุโมงค์ดอกเฟื่องฟ้าบานสะพรั่งด้วยสีสันสดใส เช่น สีม่วง สีแดง สีขาว และสีเหลือง ให้ได้เดินเที่ยวชม โดยมีสายพันธุ์หายาก อย่างเช่น Bridal Pink ที่ส่งเสริมเรื่องความรัก และ California Gold ที่นำมาซึ่งโชคลาภ เป็นต้น

และ ในเรือนกระจกก็มี มุมสำหรับนั่งพักผ่อนสบายๆ โดยจะมีบริการเครื่องดื่ม น้ำผลไม้ ชา กาแฟ ให้ดื่มฟรีอีกด้วย

นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์จากเฟื่องฟ้า อย่างเช่น ผ้าพันคอย้อมเฟื่องฟ้า กล่องทิชชู่ และต้นพันธุ์เฟื่องฟ้าในกระถาง รวมถึงผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น อาหารพื้นเมืองที่เป็นเอกลักษณ์ของภูมิภาคนี้ ให้เลือกซื้อกลับไปเป็นของฝากกันได้

ค่าเข้าชม

● ผู้ใหญ่ : 700 เยน (นักเรียนมัธยมต้นขึ้นไป)

● เด็ก : 500 เยน (นักเรียนชั้นประถม)

Ureshino Tea Exchange Museum พิพิธภัณฑ์การแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับชา เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของชา ผ่านการจัดแสดงนิทรรศการ รวมถึงได้ลองชงชาด้วยตัวเอง

ภายในยังมีส่วนของไร่ชาขนาดเล็กให้ได้เที่ยวชม และเรียนรู้วิธีเก็บใบชาอีกด้วย

Wataya Besso เข้าพักที่พักใน เมืองอุเรชิโนะ จังหวัดซากะ เป็นที่พักที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ และมีแม่น้ำสายเล็กๆ ไหลผ่าน มองเห็นวิวทิวเขาที่สวยงามของเมืองนี้

ภายใน Wataya Besso มีบริการห้องพัก ที่สะอาด กว้างขวาง เป็นระเบียบ และมีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน เหมาะแก่การมาพักผ่อน เป็นอย่างยิ่ง

● เว็บไซต์ : www.wataya.co.jp

ทริปนี้ ได้กลับมาเยือนภูมิภาค “คิวชู” อีกครั้ง เลยมีโอกาสได้มาลองนั่งรถไฟชินคันเซ็นขบวนใหม่ล่าสุดของคิวชู ที่เพิ่งเปิดมาเมื่อเดือนกันยายน 2565 เป็นเส้นทางที่เชื่อมต่อระหว่าง สถานีรถไฟ Takeo Onsen Station ในจังหวัด Saga ไปยัง Nagasaki Station จังหวัด Nagasaki ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที เท่านั้น ทำให้การเดินทางท่องเที่ยวในภูมิภาคคิวชูสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น

สำหรับ Kamome Shinkansen เป็นขบวนรถไฟ ของ JR Kyushu (Nishi-Kyushu Shinkansen) มีตู้โดยสารบริการสำหรับผู้ที่จองที่นั่ง และตู้โดยสารแบบไม่ต้องจองที่นั่ง มีการตกแต่งแบบเรียบง่าย ด้วยสีแดงและสีขาว มีโลโก้ที่เป็นสัญลักษณ์ของ “นกนางนวล” หรือภาษาญี่ปุ่นคือ “Kamome” ตามชื่อของรถไฟขบวนนี้

ภายใน ขบวนรถไฟ มีพื้นที่กว้างขวาง มีเบาะที่นั่งได้อย่างสบาย มีปลั๊กไฟ และพื้นที่สำหรับวางกระเป๋าเดินทาง สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกสบาย ใครมีโอกาสมาเที่ยว “คิวชู” แล้วอยากเดินทางไปแถว Nagasaki ก็ลองมาใช้บริการรถไฟ Shinkansen ขบวนนี้ได้นะ!

จังหวัดนางาซากิ (NAGASAKI)

จาก จังหวัดซากะ (Saga) ก็มาเที่ยวที่ จังหวัดนางาซากิ (Nagasaki) กันต่อ

1 ใน List สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่น ที่เราต้องมาเยือนให้ได้สักครั้ง ก็คือ ที่นี่แหละ “เกาะฮาชิมะ” (Hashima Island)

เกาะฮาชิมะ(Hashima Island) หรือ กุงกันจิมะ (Gunkanjima) หรือ ในภาษาญี่ปุ่นมีความหมายว่า เกาะเรือรบ(Battleship Island) เนื่องจากรูปทรงของเกาะ มีลักษณะเหมือนกับเรือรบที่ลอยอยู่กลางทะเล อยู่นอกชายฝั่งห่างจากเมืองนางาซากิ(Nagasaki) ประมาณ 15 กิโลเมตร เป็นเกาะที่ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1887 โดย บริษัทมิตซูบิชิ เพื่อประกอบกิจการถ่านหิน ที่เป็นแหล่งพลังงานที่มีความสำคัญในยุคนั้น

เกาะฮาชิมะ(Hashima Island) มีลักษณะเป็นเกาะขนาดเล็ก มีพื้นที่ 6.4 เฮคเตอร์ มีความยาวจากตะวันออกไปตะวันตกประมาณ 160 เมตร และจากเหนือจรดใต้ประมาณ 480 เมตร ในอดีต ที่นี่ คือ แหล่งอุตสาหกรรมถ่านหินของประเทศญี่ปุ่น มีการสร้างที่พักให้กับพนักงานและครอบครัว จนต่อมาก็เริ่มมีการต่อเติมสิ่งปลูกสร้างและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โรงเรียน โรงพยาบาล โรงอาบน้ำสาธารณะ สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ฯลฯ และมีการสร้างกำแพงคอนกรีตเสริมเหล็กรอบเกาะ เพื่อป้องกันพายุไต้ฝุ่น และคลื่นลมทะเล บนเกาะมีทุกอย่างครบ เป็นเหมือนอีกหนึ่งเมืองเล็กๆ ที่อยู่กลางทะเล ที่มีประชากรบนเกาะสูงถึง 5,000 คน

ในปี 1974 เมื่อเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 การใช้พลังงานจากถ่านหินเริ่มลดลง และมีการใช้น้ำมันเข้ามาแทนที่ บริษัท มิตซูบิชิ จึงเลิกกิจการถ่านหิน ทำให้ผู้คนบนเกาะค่อยๆ ทยอยอพยพออกจากเกาะ จนถูกทิ้งให้เป็นเกาะร้างอย่างที่เห็นในปัจจุบัน

ด้วยสภาพความน่ากลัวของเกาะแห่งนี้ ที่นี่จึงถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์หลายเรื่อง อย่างเช่น เรื่องเกมนรกโรงเรียนพันธุ์โหด(Battle Royale) รวมถึงภาพยนตร์ไทย เรื่อง ฮาชิมะ โปรเจกต์ ที่หลายคนคงเคยชมมาแล้วหรืออย่างน้อยก็เคยได้ยินชื่อนี้ ทำให้เกาะแห่งนี้เป็นที่รู้จักมากขึ้น

สำหรับการเที่ยวชม เกาะฮาชิมะ(Hashima Island) ก็มีบริการนำเที่ยวเกาะ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็น เพราะไม่อนุญาตให้ไปเที่ยวด้วยตัวเอง ต้องผ่านการนำเที่ยวจากผู้ประกอบการนำเที่ยวเท่านั้น โดยมีโปรแกรมนำเที่ยวที่เลือกได้ตามต้องการ

● Gunkanjima Landing Tour (Standard Plan) : ผู้ใหญ่ 5,000 เยน / นักเรียนมัธยม 4,000 เยน / นักเรียนประถม 2,500 เยน

● Gunkanjima Landing Tour (Premium Plan) : ผู้ใหญ่ 8,000 เยน / นักเรียนมัธยม 7,000 เยน / นักเรียนประถม 5,000 เยน

● Gunkanjima Landing Tour (Super Premium Plan) : ผู้ใหญ่ 10,000 เยน / นักเรียนมัธยม 9,000 เยน / นักเรียนประถม 7,000 เยน

ตารางรอบเรือนำเที่ยว

รอบเช้า Morning Tour 10:30

รอบบ่าย Afternoon Tour 13:40

ถ้าอยากเข้าถึงประวัติศาสตร์ของ เกาะฮาชิมะ(Hashima Island) แนะนำให้เลือก Plan ที่รวมการเข้าชม GUNKANJIMA DIGITAL MUSEUM ด้วย โดยก่อนจะขึ้นเรือไปเกาะ สามารถเข้าชมพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเรื่องราวของเกาะแห่งนี้ ผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล ทำให้ได้เหมือนเดินทางย้อนเวลากลับไปในสมัยนั้น มีไฮไลต์ที่ หน้าจอขนาดใหญ่ความยาว 30 เมตร และการรับชมภาพจากแว่น VR ที่จะทำให้มองเห็นในส่วนที่เป็นพื้นที่หวงห้ามของเกาะอีกด้วย

เมื่อเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์เสร็จเรียบร้อย ก็เดินต่อไปยังท่าเรือตามรอบเรือ ใช้ระยะเวลาในการเดินเพียง 5 นาที ก็ถึงท่าเรือ จะมีเจ้าหน้าที่มาคอยแนะนำพาขึ้นเรือ และอำนวยความสะดวกตลอดการเดินทาง

จากท่าเรือ เดินทางไปยัง เกาะฮาชิมะ(Hashima Island) จะใช้เวลาประมาณ 30 นาที แต่เรือนำเที่ยวจะพาวนถ่ายรูปชมบรรยากาศรอบเกาะก่อน จึงใช้เวลาเกือบ 1 ชั่วโมง จึงจะเทียบท่าที่ท่าเรือของเกาะ โดยจะมีเจ้าหน้าที่คอยดูแล และพาเดินชมไปตามเส้นทางที่กำหนด

เกาะฮาชิมะ(Hashima Island) จะมีจุดสำคัญอยู่ 3 จุด โดยในแต่ละจุด เจ้าหน้าที่จะพาเดินชมไปพร้อมๆ กัน และมีการบรรยายให้ข้อมูลในแต่ละจุด ซึ่งจะได้รับรู้เรื่องราวพร้อมกับเห็นสถานที่จริงที่ปัจจุบันกลายเป็นเพียงซากอาคาร หรือ ซากปรักหักพัง ที่หลงเหลืออยู่เท่านั้น

และ เมื่อเที่ยวชมครบทุกจุดแล้ว เจ้าหน้าที่ก็จะพาขึ้นเรือกลับ มาส่งที่ท่าเรือตรงจุดเดิม รวมใช้เวลาสำหรับ Gunkanjima Landing Tour ประมาณ 2 ชั่วโมง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทำให้ได้รับประสบการณ์ที่ดีจริงๆ นะ!

ยามเย็นชมวิวที่ Mt. Inasa & Nagasaki Ropeway ที่ถือเป็น 1 ใน 3 จุดชมวิวยามค่ำคืนยอดนิยมที่สุดในญี่ปุ่น มองเห็นวิวเมือง Nagasaki ยามค่ำคืนสวยงามมาก

หลังจากชมวิวยามค่ำคืนแล้ว ก็มาเข้าพักที่ Inasayama Kanko Hotel เป็นที่พักที่ตั้งอยู่บนเนินเขา สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของเมือง Nagasaki ในมุมสูงได้ โดยเฉพาะในช่วงยามค่ำคืนมองเห็นแสงไฟในเมืองได้สวยงามมาก

ภายใน ห้องพัก สะอาด กว้างขวาง มีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน บรรยากาศสงบ เหมาะแก่การมาพักผ่อน

● เว็บไซต์ : www.inasayama.co.jp

ตื่นมายามเช้า นั่งเรือออกมาชมฟาร์มเลี้ยงปลากลางทะเล แหล่งเลี้ยงปลาขึ้นชื่อของจังหวัด Nagasaki โดยเฉพาะ “ปลาปักเป้าลายเสือ” เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่สนุกแถมได้ความรู้ดีนะ

จาก ท่าเรือบนชายฝั่งของ Maki Island จังหวัด Nagasaki นั่งเรือประมาณ 10 นาที เพื่อไปชมกระชังเลี้ยงปลาที่อยู่กลางทะเล

วิธีการเลี้ยงปลาปักเป้าลายเสือ ในการอนุบาลลูกปลาปักเป้าจะถูกเลี้ยงในทะเลใน จนเริ่มเติบโตมีขนาดใหญ่ขึ้น ก็จะถูกย้ายไปยังกระชังปลาที่อยู่ในทะเลเปิด ซึ่งมีน้ำลึกและมีกระแสน้ำหมุนเวียนตามธรรมชาติ ทำให้ปลาปักเป้าจะเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ได้เนื้อปลาที่มีคุณภาพดี

นอกจากนี้ ยังมีการเลี้ยงปลาประเภทอื่นๆ อย่าง ปลายูโกะชิมะอาจิ ซึ่งเป็นปลาที่ถูกเลี้ยงด้วย “ส้มยูโกะ” อาหารปลาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

สำหรับ “ส้มยูโกะ” เป็นผลไม้ที่มีกลิ่นหอมแบบดั้งเดิมของเมืองนางาซากิ โดยมีเพียงประมาณ 100 ต้นเท่านั้นที่พบเติบโตตามธรรมชาติในเขตของเมืองนางาซากิ มีรสหวานอมเปรี้ยว เนื้อนุ่ม และมีกลิ่นหอมคล้ายส้มยูสุ ซึ่งทำให้ปลาที่เลี้ยงมีรสชาติดี มีกลิ่นคาวเล็กน้อย ทานง่าย แม้คนที่ไม่ชอบปลาก็ตาม

หลังจาก ที่ชมการเลี้ยงปลาเรียบร้อย ก็ได้ลองชิมซาชิมิ ปลายูโกะชิมะอาจิ (ปลาที่เลี้ยงด้วยส้มยูโกะ) อีกด้วย แบบสดจากทะเลอีกด้วย เนื้อปลาอร่อยมาก เป็นการได้ลองชิม “ซาชิมิ” ที่อร่อยที่สุดเท่าที่เคยลองชิมมาก็ว่าได้ สดจริงไรจริง!

เกาะเดจิมะ(Dejima Island) เกาะเทียมที่มนุษย์สร้างขึ้น เมื่อปี 1634 โดยการถมทะเลในอ่าวนางาซากิ ตัวเกาะมีรูปร่างเหมือนพัดแบบพับ โดยมีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 15,000 ตารางเมตร

สาเหตุในการสร้าง “เกาะเดจิมะ” ขึ้นมาก็ เพื่อป้องกันการเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในญี่ปุ่นโดยชาวโปรตุเกส และเพื่อเป็นการสอดส่องการค้าขายในช่วงที่ญี่ปุ่นปิดประเทศ โดยกีดกันให้ชาวโปรตุเกสไปอาศัยอยู่ได้ เฉพาะบนเกาะแห่งนี้เท่านั้น ถือเป็นสถานที่เดียวที่ญี่ปุ่นจะสามารถทำการค้าขายแลกเปลี่ยน และรับวิทยาการวัฒนธรรมแบบตะวันตก

เดินเล่นชมอาคารเก่าแก่ก็สวยงามคลาสสิคดีนะ มีมุมให้ถ่ายรูปเล่น และในแต่ละอาคารก็เหมือนเป็นพิพิธภัณฑ์ย่อมๆ ที่มีการจัดแสดงนิทรรศการเอาไว้ภายใน เป็นแหล่งเรียนรู้ได้อย่างดี

นอกจากนี้ ยังมี บริการเช่าชุดกิโมโน สำหรับให้เช่าไว้ใส่ถ่ายรูปเล่น เป็นชุดที่สวมใส่ได้ง่าย ไม่ยุ่งยาก ใช้เวลาเพียง 5 นาที ก็มีชุดกิโมโนสวยๆ ไว้ไปถ่ายรูปเล่น มีคอร์สให้เลือกตามระยะเวลาที่ต้องการ

แวะมาทำกิจกรรมสนุกๆ ต่อกับ การทำว่าว หรือที่ Nagasaki เรียกว่า “ฮาตะ” เป็นการเรียนรู้วิธีการทำว่าวแบบท้องถิ่น พร้อมได้ลองเล่นว่าวจริงๆ อีกด้วย

มาเที่ยวที่ เมืองอุนเซ็น(Unzen) แหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของ จังหวัดนางาซากิ(Nagasaki) ที่โดดเด่นเรื่องวิวธรรมชาติ และแหล่งน้ำพุร้อน

มาถึงเมืองนี้ ก็ต้องมาแวะแช่เท้าที่ โอบามะออนเซ็น บ่อออนเซ็นเท้า Hot Foot 105 ความยาว 105 เมตร ที่ตั้งอยู่ริมทะเล ยาวที่สุดในญี่ปุ่น สามารถมาใช้บริการได้ฟรี แช่เท้าพร้อมชมวิวท้องทะเลสวยๆ ฟินสุดๆ ไปเลย

ใกล้กันจะมี พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ Honda Yutayu – Ohama History Museum ที่จัดแสดงนิทรรศการของเก่า ภาพถ่าย ข้าวของเครื่องใช้ เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ในอดีตของเมืองนี้

แวะชิมเมนูอาหารที่ร้าน Musigamaya ร้านขึ้นชื่อ และหาเลือกซื้อของฝากของเมืองนี้

จากนั้น มาเที่ยวต่อที่ Unzen-Amakusa National Park ซึ่งช่วงนี้กำลังจะเข้าสู่ช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ที่นี่ ก็เป็นอีกจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามของภูมิภาคคิวชูอีกแห่งหนึ่ง โดยมีการคาดการณ์ว่าอีก 2-3 สัปดาห์ ต่อจากนี้(ช่วงปลายเดือนตุลาคม – ต้นเดือนพฤศจิกายน) จะได้พบกับบรรยากาศใบไม้เปลี่ยนสีทั้งภูเขาสวยงามเลยทีเดียว

Unzen-Amakusa National Park สามารถมาเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ซึ่งจะมีความสวยงามแตกต่างกันไปทั้ง 4 ฤดู และกิจกรรมที่น่าสนใจ ก็คือ การนั่งกระเช้าขึ้นไปยัง ยอดเขาเมียวเกนดาเกะ(Myokendake) ที่มีระดับความสูง 1,333 เมตร เพื่อชมวิวทิวทัศน์ในมุมสูง ซึ่งในวันที่อากาศดี ท้องฟ้าแจ่มใส ก็สามารถมองเห็นหมู่เกาะอามาคุสะ และภูเขาของเทือกเขาคิวชู ที่อยู่อีกฟากหนึ่งของทะเล

UNZEN Ropeway กระเช้าจะให้บริการ จาก สถานีนิตะพาส(1,100 ม.) ไปยัง สถานีเมียวเกนดาเกะ(1,300 ม.) ระยะทาง 500 เมตร ใช้เวลา 3 นาที เมื่อถึงจุดสูงสุดก็สามารถชมบรรยากาศของช่องเขานิตะ(Nita Pass) และยังมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติ สำหรับคนที่ชอบเดินป่าชมธรรมชาติอีกด้วย

หนึ่งในจุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจของเมืองนี้ ก็คือ “นรกอุนเซ็น” (Unzen Jigoku) โดยคำว่า “Jigoku” มีความหมายว่า “นรก” ซึ่งมีที่มาจากสภาพบรรยากาศของสถานที่แห่งนี้ ที่ให้ความรู้สึกเหมือนเข้ามาอีกโลกหนึ่ง ที่รายล้อมด้วยบ่อน้ำพุร้อน พ่นไอน้ำพุ่งออกมาทั่วบริเวณ พร้อมส่งกลิ่นกำมะถันกระจายดูน่าสะพรึงกลัว จึงเปรียบได้ว่าเป็นทิวทัศน์ของ “นรก” นั่นเอง

“นรกอุนเซ็น” (Unzen Jigoku) ตามหลักวิทยาศาสตร์เกิดจากความร้อนจากแมกมาที่มีอุณหภูมิสูง เกิดเป็นความดันลอยขึ้นมาผ่านรอยแตกในหิน ทำให้น้ำใต้ดินมีอุณหภูมิสูงขึ้น จนเกิดก๊าซและไอน้ำพวยพุ่งออกมาตลอดเวลา โดยมีอุณหภูมิสูงถึง 120 องศาเซลเซียส ส่วนอุณหภูมิของน้ำพุร้อนจะอยู่ที่ 98 องศาเซลเซียส เป็นน้ำร้อนที่มีแร่ธาตุ และมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคไขข้อ เบาหวาน และโรคผิวหนัง

ภายใน “นรกอุนเซ็น” (Unzen Jigoku) จะมีเส้นทางเดินโดยรอบ เป็นสะพานสำหรับเดินชมธรรมชาติ มีจุดแวะชมบ่อน้ำร้อนในหลายๆ จุด ที่กระจายอยู่ทั่วบริเวณ ท่ามกลางบรรยากาศที่ถูกปกคลุมไปด้วยไอน้ำ ดูสวยงามแปลกตาไปอีกแบบ และถ้าได้มาเที่ยวในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ก็จะได้บรรยากาศสีสันสวยงาม

มาถึง “นรกอุนเซ็น” (Unzen Jigoku) ทั้งที ก็ต้องไม่พลาดชิม “ไข่ออนเซ็น” จากน้ำพุร้อน ซึ่งเป็นสินค้ายอดนิยมที่ขายได้มากกว่า 2,000 ฟองต่อวัน(ไข่ออนเซ็น : 2 ฟอง 200 เยน / 5 ฟอง 400 เยน)

● ค่าเข้าชม : ฟรี

● เวลาเปิด : 24 ชั่วโมง

นอกจากนี้ ที่เมืองแห่งนี้ ยังมีบริการที่พัก ในบรรยากาศสงบท่ามกลางธรรมชาติ เหมาะแก่การมาพักผ่อน แช่ออนเซ็นฟินๆ อย่างที่พัก Fukudaya อีกด้วยนะ!

● เว็บไซต์ : www.fukudaya.co.jp

สำหรับใครสนใจไปเที่ยว “ญี่ปุ่น” ก็สามารถลองเข้าไปชมโปรแกรมที่ถูกใจได้ที่ #NidnoiTravel หรือ ตามลิงค์นี้เลย! : https://www.nidnoitravel.com/intertours/japan/