เที่ยว ซัปโปโร – ฮอกไกโด บินไปกับ Thai AirAsia X

SHARE!

ทริปนี้ เราออกเดินทางไป “ญี่ปุ่น” กันอีกครั้ง ในเส้นทาง “ซัปโปโร” ประเทศญี่ปุ่น กับสายการบิน Thai AirAsia X ที่เพิ่งกลับมาเปิดเส้นทางบินตรง กรุงเทพฯ(BKK) – ซัปโปโร(CTS) อีกครั้ง (เมื่อวันที่ 29 ต.ค. ที่ผ่านมา) เดินทางได้อย่างสะดวกสบาย ราคาประหยัดคุ้มค่า

ช่วงเวลาที่เราเดินทาง(เดือนพฤศจิกายน) เป็นช่วงเวลาที่กำลังเข้าสู่หน้าหนาวปลายปี อากาศหนาวมากขึ้น ใบไม้เปลี่ยนสีกำลังเริ่มผลัดใบ และเตรียมเปลี่ยนผ่านฤดูกาลเข้าสู่หน้าหนาวแบบเต็มตัว ซึ่งถ้าใครชอบบรรยากาศหิมะ แนะนำให้รีบจองตั๋วมาเที่ยว “ซัปโปโร” กันได้เลย!

ไป ซัปโปโร ไปกับ Thai AirAsia X

การเดินทางมาเที่ยวเส้นทาง “ซัปโปโร” ในทริปนี้ เราเดินทางด้วยสายการบิน Thai AirAsia X เส้นทางบินตรงจาก “กรุงเทพฯ” (BKK) สู่ “ซัปโปโร” (CTS) ประเทศญี่ปุ่น เดินทางได้อย่างสะดวกสบาย ปลอดภัย ราคาประหยัดคุ้มค่า และบินตรงเวลา

เริ่มต้น การเดินทาง ด้วยการมาขึ้นเครื่องที่ “สนามบินสุวรรณภูมิ” ทำการเช็คอิน ตรวจเอกสาร และโหลดสัมภาระ ให้เรียบร้อย

จากนั้น ก็เตรียมไปขึ้นเครื่องที่ Gate ซึ่งตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน 2566 เป็นต้นไป เที่ยวบินขาออกเส้นทางสู่ญี่ปุ่น(นาริตะ โอซาก้า ซัปโปโร) ของ สายการบินไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์(XJ) ทุกเที่ยวบินจะใช้ประตูทางออกขึ้นเครื่อง(Gate) ที่อาคารเทียบเครื่องบินหลังใหม่ SAT-1 หรือ Gate S101-S128 ซึ่งผู้โดยสารจะสามารถเดินทางไปได้โดยจะมีบริการรถไฟฟ้าที่เชื่อมต่อจากอาคารผู้โดยสารหลักวิ่งทุก ๆ 3 นาที

เมื่อถึงเวลาออกเดินทาง เครื่องก็จะออกตามกำหนดเวลา ซึ่งระหว่างเดินทาง บนเครื่องก็จะมีพนักงานต้อนรับมาคอยให้บริการอย่างดี มีบริการจำหน่ายอาหารหลากหลายเมนู อย่างเช่น ข้าวหน้าไก่เทอริยากิ (Chicken Teriyaki with Rice), ข้าวกะเพราไก่หม่อมหน่อย(Ml. Noi Basil Fried with Chicken) เป็นต้น รวมถึงมีบริการเมนูเครื่องดื่มมากมาย ให้เลือกได้ตามความต้องการอีกด้วย

ตารางบิน Thai AirAsia X เส้นทางบินตรงจาก “กรุงเทพฯ” (BKK) สู่ “ซัปโปโร” (CTS)

  • BKK – CTS : XJ 620 : 02.05 – 10.40
  • CTS – BKK : XJ 621 : 11.55 – 17.50

จองได้ที่ : https://www.airasia.com/th/th

การเดินทาง จาก กรุงเทพฯ(BKK) เดินทางมาถึงปลายทาง “ซัปโปโร” ที่ สนามบินนิวชิโตเสะ(New Chitose Airport) ได้อย่างปลอดภัย ใช้เวลาเดินทาง 6 ชั่วโมง 30 นาที ก็มาถึง “ซัปโปโร” ในช่วงสาย ก็พร้อมเที่ยวต่อได้เลย

ซื้อบัตร JR Pass พาสสำหรับเที่ยวใน ซัปโปโร (และ ฮอกไกโด) ได้ที่นี่ คลิกเลย!

บัตร JR Pass สำหรับท่องเที่ยวใน ฮอกไกโด สามารถเลือกได้ แบบ 5 หรือ 7 วัน ซื้อไว้เลย เที่ยวได้สุดคุ้ม!!

การเดินทางจากสนามบินเข้าเมืองซัปโปโร(Sapporo)

จาก สนามบินนิวชิโตเสะ(New Chitose Airport) เข้าเมืองซัปโปโร(Sapporo) สามารถเดินทางได้ทั้งรถไฟและรถบัสโดยสาร(New Chitose Airport Limousine Bus) ซึ่งครั้งนี้เราพักที่ย่าน Susukino ก็เลยเลือกเดินทางด้วยรถบัสเพราะสะดวกดี นั่งต่อเดียวถึง และมีที่เก็บกระเป๋าเดินทางใต้ท้องรถด้วย

ถ้าใครอยากนั่งรถบัสเข้าเมืองก็สามารถมารอรถที่ป้ายรถบัส อาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ(ป้ายหมายเลข 84) หรือ อาคารผู้โดยสารภายในประเทศ(ป้ายหมายเลข 22) ก็ได้ รถออกทุก 15 นาที ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง ราคาค่าโดยสารเที่ยวละ 1,100 เยน ถ้าซื้อแบบไป-กลับ 2,100 เยน(ประหยัดไปอีก 100 เยน)

การเดินทางในเมืองซัปโปโร(Sapporo)

สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวในเมืองซัปโปโร(Sapporo) เราจะใช้รถไฟใต้ดิน(Subway)เป็นหลัก ซึ่งจะมีสถานที่ท่องเที่ยวตามเส้นทางรถไฟใต้ดิน เดินทางได้อย่างสะดวก โดยจะเลือกซื้อเป็นแบบตั๋วรายเที่ยวหรือตั๋วแบบเหมา 1 วัน(830 เยน) ขึ้นรถไฟไม่อั้นก็ได้เช่นกัน

Nakajima Park สวนสาธารณะ แหล่งพักผ่อนของเมืองซัปโปโร

จุดชมใบไม้เปลี่ยนสียอดนิยมของเมืองซัปโปโร เราแวะมาชมบรรยากาศกันที่ “สวนนากาจิมะ” กันอีกสักหน่อย เนื่องจากทริป “ซัปโปโร” ทริปนี้ พักอยู่แถวสวนนี้ ก็เลยได้มาเดินเล่นวนเวียนอยู่บ่อยๆ ซึ่งช่วงนี้ใบไม้อาจร่วงโรยไปเยอะแล้ว แต่ก็ได้บรรยากาศความสงบ น่ามาเดินเล่นในสวนแห่งนี้ ยิ่งวันนี้อากาศดีด้วย ชิลดีจริงๆ

  • การเดินทาง : สถานีรถไฟใต้ดิน Nakajimakoen Station

“สวนนากาจิมะ” (Nakajima Park) เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ในเมืองซัปโปโร สามารถเดินทางสะดวกด้วยรถไฟใต้ดิน(Nakajimakoen Station) หรือ ถ้าพักอยู่แถวย่าน Susukino ก็เดินไปได้ในระยะทางที่ไม่ไกล โดยภายในสวน จะครอบคลุมพื้นที่ 21 เฮกตาร์ มีต้นไม้มากกว่า 5,000 ต้น ซึ่งจะมีทั้ง ต้นเมเปิ้ล ต้นแปะก๊วย ต้นซากุระ รวมถึง ดอกไม้หลากชนิด ที่จะทำให้สวนแห่งนี้มีสีสันตลอดทั้งฤดูกาล

ในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี(ปลายเดือนตุลาคม – ต้นเดือนพฤศจิกายน) ต้นไม้ที่อยู่ภายใน สวนนากาจิมะ (Nakajima Park) ก็จะมีสีสันของใบไม้เปลี่ยนสีสวยงาม สามารถเดินชมได้อย่างเพลินๆ เลย แม้ว่า..เราจะมาในช่วงที่ใบไม้ได้ร่วงโรยไปเยอะแล้ว แต่ก็พอมีบางจุดให้ถ่ายรูปบรรยากาศใบไม้เปลี่ยนสีอยู่บ้างนะ

Sapporo Factory จุดถ่ายรูปยอดนิยม อาคารอิฐสีแดงสุดคลาสสิค

โรงงานซัปโปโร(Sapporo Factory) เป็นอาคารอเนกประสงค์ ที่ตั้งอยู่ในบริเวณของโรงเบียร์ซัปโปโรแห่งแรก(สร้างขึ้นในปี 1876) ภายในตัวอาคารมีห้องโถงกว้าง มีโครงสร้างขนาดใหญ่ เป็นอาคารเก่าแก่แห่งหนึ่งของเมืองซัปโปโร

ด้วยความคลาสสิคของตัวอาคารที่มีความโดดเด่นจากอิฐสีแดง ประกอบกับช่วงที่ใบไม้เปลี่ยนสีเช่นนี้ ทำให้พันธุ์ไม้ที่ปกคลุมตัวอาคารมีสันสวยงาม เป็นมุมถ่ายรูปที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเที่ยว “ซัปโปโร” แนะนำเลย

  • การเดินทาง : จาก สถานีรถไฟใต้ดิน Bus Center Mae Station ทางออก 8 เดินต่อ ประมาณ 400 เมตร

Hokkaido University จุดชมใบไม้เปลี่ยนสีเมืองซัปโปโร

“มหาวิทยาลัยฮอกไกโด” (Hokkaido University) มหาวิทยาลัยใจกลางเมืองซัปโปโร เป็นอีกจุดชมใบไม้เปลี่ยนสียอดนิยม

ภายใน “มหาวิทยาลัยฮอกไกโด” จะมีถนนสายแปะก๊วย หรือ Ginkgo Avenue ให้ได้ชมความสวยงามของต้นแปะก๊วย(กิงโกะ) ที่ปลูกเรียงรายริมสองฝั่งของถนนอย่างเป็นระเบียบ ยาวกว่า 380 เมตร โดยในช่วงปลายเดือนตุลาคม – ต้นเดือนพฤศจิกายน ใบแปะก๊วยก็จะเปลี่ยเป็นสีเหลืองทองเหลืองอร่าม เป็นจุดถ่ายภาพใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามของเมืองซัปโปโร

นอกจากนี้ ก็ยังมีมุมถ่ายภาพสวยๆ แนะนำให้มาในช่วงเช้าอากาศดี บรรยากาศสงบๆ ดีด้วยนะ ถ่ายรูปเล่นเพลินเลย

  • การเดินทาง : จาก สถานีรถไฟใต้ดิน Kitajunijo Station (ทางออก 2) เดินต่อ ประมาณ 200 เมตร

Mt.Moiwa ชมวิวเมืองซัปโปโรมุมสูง

ทริปเที่ยว “ซัปโปโร” วันสบายๆ กับช่วงครึ่งวันตอนบ่ายยาวไปจนหัวค่ำ เราให้เวลากับ ภูเขาโมอิวะ(Mt. Moiwa) สถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่ในซัปโปโรนี่เอง เดินทางได้ง่าย มีเวลาสักครึ่งวันก็เที่ยวได้สบายๆ แล้ว แต่แนะนำให้อยู่จนถึงช่วงพระอาทิตย์ตก และเห็นวิวไฟจากเมือง เป็นวิวกลางคืนที่สวยงาม ที่ต้องขึ้นมาชมสักครั้งนะ

Mt.Moiwa ภูเขาโมอิวะ เป็นภูเขาที่อยู่ใน Sapporo มีระดับความสูง 531 เมตร โดยบนยอดเขาจะเป็น จุดชมวิว ที่สามารถมองเห็นเมืองซัปโปโรได้ทั้งเมือง แบบ 360 องศา และยังเป็น “จุดชมวิวกลางคืน” ที่ขึ้นชื่ออีกด้วย ซึ่งที่นี่ถูกยกให้เป็น 1 ใน 3 จุดชมวิวกลางคืนที่สวยที่สุด เมื่อปี 2015

ไฮไลท์ ของที่นี่ คือ “ระฆังแห่งความสุข” สัญลักษณ์ของ Mt.Moiwa จุดถ่ายรูปยอดนิยม ที่ใครมาแล้วต้องไม่พลาดมาถ่ายรูป พร้อมกับตีระฆัง อธิษฐานให้ชีวิตพบแต่ความสุข และยังสามารถแขวน “แม่กุญแจแห่งความรัก” ที่ราวรอบๆ บริเวณนี้ได้อีกด้วยนะ

นอกจากนี้ ยังมีส่วนของร้านอาหาร The Jewels ร้านจำหน่ายของที่ระลึก และคาเฟ่เล็กๆ ที่มีอาหารว่างและเครื่องดื่มให้บริการ

Ticket ตั๋วแบบเหมารวม ไป-กลับ ค่ากระเช้า Ropeway และ Morris Car

  • ผู้ใหญ่ คนละ : 2,100 เยน
  • เด็ก คนละ : 1,050 เยน

การเดินทาง : นั่งรถรางในเมือง Sapporo มาลง ที่สถานี Ropeway Iriguchi (200 เยน) จากนั้น ก็เดินไปยังป้ายรถ Shuttle Bus รับ-ส่ง ไป สถานี Sanroku ซึ่งเป็นสถานีกระเช้า Ropeway ด้านล่าง(บริการฟรี) หรือ ถ้าใครไม่อยากรอจะเดินไปเองก็ได้ ใช้เวลาเดินประมาณ 10 นาที

Shiroi Koibito Park เที่ยวโรงงานช็อกโกแลต

“ซัปโปโร” รอบนี้ เราได้กลับมาที่ Shiroi Koibito Park หรือ โรงงานช็อกโกแลต กันอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้จะพิเศษหน่อยตรงที่เป็นช่วงที่จัดงานแสดงไฟ Shiroi Koibito Park Illumination 2023 พอดี ได้บรรยากาศ ในช่วงอากาศหนาวๆ แบบตอนนี้มากเลย

Shiroi Koibito Park เป็นโรงงานของบริษัท Ishiya ผู้ผลิตขนมคุกกี้แผ่นบางกรอบประกบไวท์ช็อกโกแลต ของฝากจากฮอกไกโดที่รู้จักกันดี ที่นี่มีชื่อเดิมว่า Ishiya Chocolate Factory แต่ต่อมา ก็ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น Shiroi Koibito Park อย่างที่รู้จักกัน

โรงงานช็อกโกแลต (Shiroi Koibito Park) จะเป็นธีมปาร์คแบบ “สวนสนุกช็อกโกแลต” ประกอบด้วย อาคารสถาปัตยกรรมยุโรปขนาดใหญ่ บริเวณด้านหน้ามีสวนดอกไม้สไตล์อังกฤษ พร้อมจุดถ่ายภาพสวยๆ มากมาย ส่วนภายในอาคารจะเป็น พิพิธภัณฑ์โรงงานช็อกโกแลต มีร้านอาหาร ร้านกาแฟ และร้านค้าขายของที่ระลึก รวมไปถึง ผลิตภัณฑ์ช็อกโกแลต ของฝากขึ้นชื่อของที่นี่

และ มาเที่ยวถึง โรงงานช็อกโกแลต (Shiroi Koibito Park) ทั้งที ก็ต้องไม่พลาดชิม Soft Cream หวาน หอม มัน แนะนำว่า.. ต้องลองชิม!

  • Size เล็ก = 400 เยน
  • Size ใหญ่ = 600 เยน

นอกจากนี้ ในช่วงหน้าหนาวแบบนี้ ก็มีงานแสดงไฟ Shiroi Koibito Park Illumination อีกด้วย ซึ่งเราก็มีโอกาสมาเที่ยวในช่วงที่เขาจัดงานพอดี ก็เลยเที่ยวเล่นในโรงงานช็อกโกแลตจนฟ้าเริ่มมืด ไฟสีสันต่างๆ ที่ถูกประดับไว้ก็จะทยอยเปิดขึ้นมา ได้ถ่ายรูปเล่น ชมไฟสวยๆ เป็นบรรยากาศที่ดีมาก

ใครมีแพลนมาเที่ยว “ซัปโปโร” ช่วงหนาวนี้ อย่าลืมแวะมาถ่ายรูปเล่นที่งานจัดแสดงไฟ Shiroi Koibito Park Illumination 2023 ที่โรงงานช็อกโกแลต(SHIROI KOIBITO PARK) กันนะ อากาศหนาวๆ ไฟสวยๆ มีให้ชมไปจนถึงมีนาคมปีหน้าเลย!

● วันที่ : 15 พฤศจิกายน 2566 – 31 มีนาคม 2567

● เวลาเปิดไฟ : 16.00 น. – 19.00 น.

● ข้อมูลเพิ่มเติม : https://www.shiroikoibitopark.jp/illumination/

การเดินทาง : จากในเมือง Sapporo นั่งรถไฟใต้ดินสาย Tozai Subway Line ไปลงที่ สถานี Miyanosawa Station 宮の沢駅 จากนั้น เดินต่ออีกประมาณ 400 เมตร

เทศกาลหน้าหนาว Sapporo White Illumination 2023

อีกหนึ่งงานใหญ่ใจกลางเมืองซัปโปโร ที่ผู้คนให้ความสนใจ บรรยากาศคึกคักมาก เป็นสีสันช่วงหน้าหนาว ที่ใครวางแผนจะมาเที่ยว “ซัปโปโร” ในช่วงหนาวนี้ ต้องลิสเอาไว้ในแพลนการเดินทางได้เลย!

Sapporo White Illumination 2023 งานประดับไฟใจกลางเมืองซัปโปโร มีพื้นที่จัดงานในหลายโซน แต่พื้นที่หลักจะอยู่ที่สวนโอโดริ(Odori Park) มีการจัดแสดงไฟในรูปแบบต่างๆ อย่างเช่น อุโมงค์แสง, โดมแห่งแสง, ป่ามรกต เป็นต้น มีมุมสำหรับถ่ายรูปสวยๆ มากมาย

● วันจัดงาน : 22 พฤศจิกายน 2023 – 25 ธันวาคม 2023 (Odori Park)

● เวลาเปิดไฟ : 16.30 น. – 22.00 น. (วันที่ 23 ถึง 25 ธันวาคม ไฟจะเปิดถึง 24.00 น.)

นอกจากนี้ ในบริเวณพื้นที่ของสวนโอโดริ(Odori Park Nishi 2-chome) ก็มีอีกงานที่จัดอยู่ใกล้ๆ กัน คือ German Christmas Market in Sapporo งานตลาดคริสต์มาส ในบรรยากาศธีมคริสต์มาสเทศกาลแห่งความสุข

ภายในงาน จะมีบูธจำหน่ายอาหารคริสต์มาสสไตล์เยอรมันแท้ๆ เช่น ไวน์ร้อน และสินค้าคริสต์มาสต่างๆ โดยจะมีเต็นท์กันลม กันหิมะ สำหรับเข้าไปทานอาหารข้างในได้

แนะนำ : เมนูต้องลองชิม Almond ของ Hansen’s Almond Factory ที่คนให้ความสนใจมารอต่อคิวซื้อกันเยอะมาก และในช่วงอากาศหนาวๆ ก็ต้องดื่มเครื่องดื่มร้อนๆ อย่าง Chocolate Cocktail (มีแอลกอฮอล์) จิบร้อนๆ ละมุน กลมกล่อมมาก ช่วยคลายหนาวได้อย่างดีเลย ติดใจมากกก..

● วันจัดงาน : 22 พฤศจิกายน 2023 – 25 ธันวาคม 2023

● เวลา : 11.00 น. – 21.00 น.

ใครมีแพลนเที่ยว “ซัปโปโร” ช่วงหน้าหนาวนี้ ก็อย่าลืมแวะไปถ่ายรูป เช็คอิน กับบรรยากาศงานเทศกาลสนุกๆ แบบนี้กันนะ!

ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.sapporo.travel/white-illumination/

แนะนำ 5 ร้านเด็ด “ซัปโปโร” เมนูอร่อยๆ มีให้ชิมเพียบ

01 | Tokachi Butadon Ippin (หมูย่างเตาถ่าน) เมนูเด็ด “ซัปโปโร” ต้องลองชิม หมูย่างติดมันหน่อยๆ ย่างมาร้อนๆ กินกับข้าวฟินมากกกก!

เที่ยว “ซัปโปโร” ทริปนี้ เราได้มาซ้ำร้านนี้กันอีกรอบ กับเมนู “ข้าวหมูย่างเตาถ่าน” อีกหนึ่งร้านเด็ดที่อยากแนะนำ

“Tokachi Butadon Ippin” ร้านหมูย่างเตาถ่าน ในสถานีรถไฟ JR Sapporo Station (โซน Sapporo Stellar Place) ร้านเด็ดที่ใครผ่านมาแถวสถานีรถไฟต้องแวะไปกินกัน บางช่วงเวลาคนมาต่อคิวกันเยอะมากๆ ถ้าไม่อยากรอคิวนานคงต้องเลี่ยงช่วงเวลาอาหารมื้อเที่ยง หรือ เย็น กันนะ(แต่.. เรารอไม่นานมาก ประมาณ 30 นาที)

สำหรับเมนู “หมูย่างเตาถ่าน” เป็นหมูย่างชิ้นโต ย่างกับเตาถ่าน จนสุกและขอบเกรียมหน่อยๆ โปะมาบนข้าวสวย พร้อมเสิร์ฟ(ราคาดูได้ใน Comment) หรือจะสั่งเป็นชุดก็ได้เช่นกัน

วิธีการสั่ง สามารถเลือกสั่งปริมาณ ข้าว และ หมูย่าง ได้ตามความต้องการ จะเน้น ข้าวน้อย หมูเยอะ หรือ ข้าวเยอะ หมูน้อย ราคาก็จะต่างกันไป ซึ่งเขาจะมี เมนูภาษาไทย ด้วย เข้าใจได้ง่ายดี

รสชาติ โดยรวมอร่อยดี ส่วนตัวชอบตรงที่เนื้อหมูติดมันหน่อยๆ ย่างเกรียมขอบนิดๆ กินกับข้าวร้อนๆ เข้ากันได้อย่างดี กินตอนช่วงอากาศหนาว นี่ฟินเลยยย.. อิ่ม อร่อย คุ้มค่ากับการรอคิว

การเดินทาง : เดินทางมาลงที่ สถานีรถไฟ JR Sapporo ร้านอาหารอยู่ในโซน Sapporo Stellar Place ชั้น 6

02 | ร้านเนื้อแกะย่าง(เจงกิสข่าน) ใน “ซัปโปโร” ดื่มไม่อั้น 500 เยน(60 นาที) เปิดก๊อกเติมเองได้เลย

มาเที่ยว “ซัปโปโร” ทุกครั้ง เราก็ต้องไม่พลาดเมนู “เจงกิสข่าน” หรือเนื้อแกะย่าง เมนูเด็ดของ “ฮอกไกโด” ที่มีร้านเจงกิสข่านอยู่หลายร้าน กระจายอยู่ทั่วทั้งเมือง และสำหรับร้านนี้ เหมาะกับสายดื่มเป็นอย่างยิ่ง เพราะมีเมนูเครื่องดื่มแบบไม่อั้น ในเวลา 60 นาที เพียงแค่ 500 เยน เท่านั้นเอง สามารถเปิดเติมที่โต๊ะได้เอง ดื่มได้แบบรัวๆ ไม่ขาดตอน

焼肉ホルモンジンギスカン酒場 れもん เป็นร้านเนื้อแกะย่าง(เจงกิสข่าน) ที่อยู่ในย่าน Susukino ของเมือง Sapporo ภายในร้านมีโต๊ะที่มีเหมือนก๊อกน้ำประจำอยู่ทุกโต๊ะ สำหรับไว้เติมเครื่องดื่มได้ด้วยตัวเอง เป็นร้านที่วัยรุ่นเยอะมาก ร้านปิดตี 3 แต่ถ้าวันศุกร์และเสาร์จะปิดตี 5 !!

เมนูอาหาร ของร้าน 焼肉ホルモンジンギスカン酒場 れもん จะมีเมนูเนื้อสัตว์ต่างๆ ทั้ง เนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อไก่ รวมไปถึง เนื้อแกะ(เจงกิสข่าน) เมนูเด็ดของฮอกไกโด เป็นแบบ A La Carte รวมถึงยังมีเมนูกับแกล้มและอาหารทานเล่นอื่นๆ อีกด้วย

เมนูแนะนำ เนื่องจากเราเน้นกินเนื้อแกะ “เจงกิสข่าน” เป็นพิเศษ เลยเลือกสั่งเฉพาะเนื้อแกะ “เจงกิสข่าน” ซึ่งจะมีเนื้อแกะในส่วนต่างๆ ให้เลือกสั่งไปปิ้งย่างได้ตามความต้องการ

วิธีการสั่งอาหาร สามารถ Scan QR Code ซึ่งจะมีภาพอาหารและเมนูภาษาอังกฤษ สั่งได้ง่าย อยากได้อะไรเพิ่ม ก็กดสั่งได้เลย

สำหรับ เมนูเครื่องดื่ม แนะนำให้เลือกแบบ “ดื่มไม่อั้น” เพราะว่าคุ้มมาก!! เพียง 500 เยน(60 นาที) สามารถเปิดก๊อกที่โต๊ะเติมเองได้เลย(Lemon Sour) และยังสามารถสั่งผลไม้มาใส่ในแก้วเพิ่มได้(มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม)ชอบดื่มรสชาติแบบไหนก็จัดได้ตามความชอบ อากาศหนาวๆ ได้มาย่างเนื้อกินร้อนๆ พร้อมจิบเครื่องดื่มตาม ฟินนนนน..!!

  • การเดินทาง จาก สถานีรถไฟใต้ดิน Susukino Station เดินต่อประมาณ 200 เมตร

03 | “Suage+” ร้านซุปแกงกะหรี่ รสชาติเข้มข้น เมนูเด็ด “ฮอกไกโด” คนต่อคิวเข้าร้านเพียบ!

ซุปแกงกะหรี่ (Soup Curry) เป็นอาหารท้องถิ่นที่ต้องลองชิม เมื่อมีโอกาสมาเที่ยวที่ “ฮอกไกโด” ซึ่งก็มีร้าน Soup Curry มากมายหลายร้านกระจายอยู่ในเมือง Sapporo เลือกไปทานกันได้ตามสบาย เดินทางสะดวกที่ไหนก็แวะร้านที่อยู่ใกล้ได้เลย

Suage+ เป็นร้านซุปแกงกะหรี่ (Soup Curry) ที่อยากจะแนะนำ อยู่ในย่าน Susukino เป็นอีกหนึ่งร้านยอดนิยม ที่มีคนมารอต่อคิวเข้าร้านกันเยอะมาก แม้ว่าเราจะมารอก่อนเวลาร้านเปิด แต่ก็มีคนมารอก่อนล่วงหน้าแล้ว ถ้าใครจะมากินที่ร้านนี้ก็ต้องเผื่อเวลากันสักหน่อยนะ

วิธีการสั่งอาหาร จะมีอยู่ 5 ขั้นตอน คือ

● Step 1 : เลือกประเภทของซุปแกงกะหรี่ เช่น เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อวัว หอยนางรม เป็นต้น (เริ่มต้น 1,280 เยน)

● Step 2 : เลือกซุป Classic Standard Soup (ถ้าเลือก ซุปหมึกดำ หรือ ซุปกุ้ง เพิ่ม +150 เยน)

● Step 3 : เลือกระดับความเผ็ด 10 ระดับ (แนะนำระดับ 3)

● Step 4 : เลือกปริมาณข้าว 150 g / 200 g / 350 g (+100 เยน)

● Step 5 : เลือกท้อปปิ้งเพิ่ม(มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม)

รสชาติ ของ ซุปแกงกะหรี่ จะเข้มข้นด้วยเครื่องเทศ ออกรสเผ็ดนิดหน่อย มีผักมากมายหลายชนิด กินกับข้าวร้อนๆ อร่อย ช่วยคลายหนาวได้อย่างดีเลย เป็นอีกหนึ่งเมนูที่ต้องมาจัดสักมื้อ เมื่อได้มาเที่ยว “ซัปโปโร” นะ!

  • การเดินทาง จาก สถานีรถไฟใต้ดิน Susukino Station เดินต่อประมาณ 100 เมตร

04 | บุฟเฟต์เนื้อแกะย่าง(เจงกิสข่าน)ในเมือง “ซัปโปโร” พร้อมเครื่องดื่มไม่อั้น 2 ชั่วโมง(5,500 เยน)

อยากจะกินเนื้อแกะย่าง “เจงกิสข่าน” ให้จุกๆ สักหน่อย ก็ต้องเลือกร้านนี้ แบบกินได้ไม่อั้น แถมมีรวมดื่มไม่อั้นอีกด้วย ถือว่า..เด็ดเลย!

炭火焼肉 一発ドン เป็นร้านเนื้อแกะย่าง(เจงกิสข่าน) ที่อยู่ในย่าน Susukino ของเมือง Sapporo มีเมนูเนื้อแกะย่าง ทั้งแบบ A La Carte และแบบ Buffet ทานไม่อั้นในระยะเวลา 2 ชั่วโมง

ภายใน ร้านสะอาดและโปร่งสบายตา(กว่าร้านเจงกิสข่านทั่วไป) มีโต๊ะ เก้าอี้ที่นั่งสบาย และมีระยะห่างระหว่างโต๊ะ นั่งทานอาหารได้แบบไม่รู้อึดอัด มีระบบระบายอากาศที่ดี แบบว่า.. แทบไม่มีควันรบกวนเลย พนักงานก็ดูแลดี อาหาร เครื่องดื่ม ที่สั่งก็ออกไวมาก

เมนูอาหาร ของร้าน 炭火焼肉 一発ドン จะมีเมนูเนื้อสัตว์ต่างๆ ทั้ง เนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อไก่ รวมไปถึง เนื้อแกะ(เจงกิสข่าน) เมนูเด็ดของฮอกไกโด ซึ่งแนะนำให้เลือกแบบเป็นคอร์ส โดยจะมีคอร์สให้เลือก ตั้งแต่ราคา 4,000 เยน / 5,500 เยน / 6,000 เยน และ 8,000 เยน (รวมภาษี) เป็นราคาต่อคนที่รวมดื่มไม่อั้น 2 ชั่วโมง สุดคุ้มเลย

เมนูแนะนำ เนื่องจากเราเน้นกินเนื้อแกะ “เจงกิสข่าน” เป็นพิเศษ เลยเลือกคอร์ส “Jingiskang Course” (5,500 เยน/คน) ซึ่งจะมีเนื้อแกะในส่วนต่างๆ รวมถึงเมนูกับแกล้มอื่นๆ ที่สำคัญสามารถดื่มได้แบบไม่อั้นอีกด้วย

วิธีการสั่งอาหาร สามารถ Scan QR Code ซึ่งจะมีเมนูภาษาอังกฤษ สั่งได้ง่าย อยากได้อะไรเพิ่ม ก็กดสั่งได้เลย สั่งเครื่องดื่มได้แบบไม่ขาดตอน(รายการอาหารดูได้ที่ช่อง Comment)

สำหรับ ขั้นตอนการปิ้งย่างเนื้อแกะ(เจงกิสข่าน) จะมีเตาถ่านและกระทะ(ที่รูปทรงเหมือนหมูกระทะบ้านเรา) พร้อมมีถั่วงอกและหัวหอมใหญ่มาให้ด้วย อากาศหนาวๆ ได้มาย่างเนื้อกินร้อนๆ พร้อมจิบเครื่องดื่มตาม ฟินนนนน..!!

การเดินทาง จาก สถานีรถไฟใต้ดิน Susukino Station เดินต่อประมาณ 200 เมตร

05 | Nijo Market (OHISO) ตลาดปลากลางเมืองซัปโปโร อาหารทะเลเพียบ

NIJO MARKET ตลาดอาหารทะเลในตัวเมือง “ซัปโปโร” ที่หลายคนคงรู้จักกันดี เดินทางมาง่าย สามารถนั่งรถไฟใต้ดิน(Subway) มาลงที่ “สถานี Susukino” หรือ “สถานี Odori” ก็ได้ จาก สถานีรถไฟ ก็เดินต่ออีกประมาณ 300 เมตร

ที่นี่ มีอาหารทะเลที่หลากหลายให้ได้ลองชิม โดย บรรดา พ่อค้า แม้ค้า ในตลาดปลา จะมาคอยยืนเรียกลูกค้าอยู่บริเวณหน้าร้านของตัวเอง ของแต่ละอย่างสดจากทะเลแน่นอน

ภายในตลาด จะมีร้านอาหารอยู่หลายร้านเลย และขอแนะนำร้าน #OHISO หนึ่งในร้านยอดนิยมที่บางเวลาคนเยอะมากจนต้องรอคิวกันเลยทีเดียว มีเมนูอาหารทะเลต่างๆ ให้เลือกมากมายตามความชอบ

แนะนำ : ชุดข้าวหน้าทะเลสด จะมีให้เลือกหลายอย่าง ทั้ง แซลมอน / อูนิ(ไข่หอยเม่น) / ไข่ปลาแซลมอน ฯลฯซึ่งต้องบอกว่า.. ของสดมาก สีสันน่ากิน ไม่มีกลิ่นคาว และ รสชาติอร่อยดีนะ

สรุป โดยรวมราคาอาจจะสูงหน่อย แต่ ถ้าใครชอบความสด และ ความสะดวก เดินทางง่าย อยู่ใจกลางเมือง ก็จัดได้เลย!

  • การเดินทาง : สถานี Susukino หรือ สถานี Odori แล้วเดินต่อประมาณ 300 เมตร

OTARU เที่ยวตามรอยหนังแฟนเดย์

มาเที่ยว “ซัปโปโร” ทริปนี้ นอกจากเราจะตะลอนวนเที่ยวในเมืองแล้ว ก็ยังนั่งรถไฟออกไปเที่ยวเมือง “Otaru” ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลจากซัปโปโรอีกด้วย เที่ยวง่าย ไปเช้า – เย็นกลับ แบบสบายๆ ใน 1 วัน

  • การเดินทาง : จาก สถานีรถไฟ JR Sapporo Station มาลงสถานีรถไฟ JR Otaru Station ใช้เวลาเดินทางประมาณ 35 นาที(ค่าโดยสาร 750 เยน)

แนะนำเส้นทางเดินท่องเที่ยวในเมือง Otaru เริ่มจากขึ้นรถไฟจาก สถานีรถไฟ JR Sapporo Station มาลงสถานีรถไฟ JR Otaru Station แล้วเดินเที่ยวแบบเป็นวงกลม เริ่มต้นที่ ตลาดปลาซังคาคุ (Sankaku Market) ที่อยู่หน้าสถานีรถไฟ แล้วไปที่ คลองโอตารุ (Otaru Canal) เดินแวะเที่ยวไปตามจุดเช็คอินต่างๆ และขากลับให้มาขึ้นที่ สถานีรถไฟ Minami-Otaru Station เพื่อเดินทางกลับเข้าสู่เมืองซัปโปโร

จุดเช็คอิน กิน เที่ยว ใน “โอตารุ” (Otaru)

คลองโอตารุ (Otaru Canal) แลนด์มาร์ค จุดเช็คอิน และแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม ซึ่งในสมัยก่อนเคยเป็นเมืองท่าที่ใช้สำหรับขนถ่ายสินค้ากับคลังสินค้าที่ตั้งอยู่ตามริมฝั่งคลอง ปัจจุบันคลองนี้ได้ถูกปรับปรุงให้เป็นพิพิธภัณฑ์ ร้านค้า และจุดเช็คอินท่องเที่ยวที่ใครมาเที่ยว “โอตารุ” ก็ต้องแวะมาที่นี่

ตลาดปลาซังคาคุ (Sankaku Fish Market) ตลาดปลาขนาดเล็กที่มีร้านขายอาหารทะเลสดๆ เมื่อเดินเข้าไปด้านในของตลาดปลา จะเจอกับร้านขายอาหารทะเลเล็กๆ อยู่นับสิบร้าน เรียงรายอยู่ทั้ง 2 ข้างทางเดิน โดยจะมีพ่อค้า แม่ค้า มายืนคอยเรียกลูกค้าอยู่หน้าร้าน

นอกจาก จะมีอาหารทะเลแบบสดๆ ตัวเป็นๆ ขายแล้ว ในบางร้านก็จะเปิดเป็นร้านอาหารเล็กๆ อีกด้วย โดยสามารถสั่ง กุ้ง หอย ปู ปลา แบบเป็นๆ สดๆ จากหน้าร้าน มานั่งกินในร้านได้เลย อยากกินอะไร ก็สั่งเอาได้ มีทั้งแบบกินสด ซาซิมิ หรือ เมนูปิ้งย่าง ก็ทำได้หมด รับรองสดแน่นอน!

LeTAO Main Store ร้านขนมและของฝากยอดนิยมของโอตารุ ชิม Soft Cream จาก LeTAO หวาน หอม ละมุน

พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรีโอตารุ (Otaru Music Box Museum) พิพิธภัณฑ์ที่ได้รวบรวมกล่องดนตรีหลากหลายรูปแบบให้ได้ชม และสามารถเลือกซื้อกลับไปเป็นของที่ระลึกได้

หอนาฬิกาไอน้ำ (Otaru Steam Clock Tower) เป็นนาฬิกาไอน้ำเก่าแก่ ตั้งอยู่ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี เป็นสถานที่ที่น่าจะคุ้นตากันดี เพราะเป็นหนึ่งในโลเกชั่นของภาพยนต์เรื่อง “แฟนเดย์” นั่นเอง โดยนาฬิกาไอน้ำ จะมีเสียงเพลง และพ่นไอน้ำออกมาในทุก 15 นาที

สรุป

“ซัปโปโร” ในช่วงนี้ เป็นช่วงเวลาที่กำลังเข้าสู่หน้าหนาวปลายปี อากาศหนาวมากขึ้น ใบไม้เปลี่ยนสีกำลังเริ่มโรยรา และเตรียมเปลี่ยนผ่านฤดูกาลเข้าสู่หน้าหนาวแบบเต็มตัว ซึ่งถ้าใครชอบบรรยากาศหิมะ แนะนำให้รีบเตรียมจองตั๋วมาเที่ยว “ซัปโปโร” กันได้เลย!