ฮอยอัน ก็คือ.. ฮอยอัน!
เนื้อหารีวิวนี้แบ่งเป็นทั้งหมด 3 ตอน คือ
ตอนที่ 1 : ฮอยอัน.. มันก็จะเหลืองๆ หน่อย! >> http://chailaibackpacker.com/hoian-1
ตอนที่ 2 : หิงห้อยฮอยอัน! >> http://chailaibackpacker.com/hoian-2
ตอนที่ 3 : ฮอยอัน..ก็มีทะเล! >> http://chailaibackpacker.com/hoian-3
Day #3 MY SON SANCTUARY
07.00 น. เที่ยวเมืองเก่าหมี่เซิน
วันนี้.. ตื่นเช้าหน่อย จะไปเที่ยวเมืองเก่า หมี่เซิน กัน ซึ่งผมได้จอง เดย์ทัวร์กับทางที่พักเอาไว้ ซึ่งจะมีทัวร์ 2 แบบให้เลือก คือ แบบไปรถ-กลับรถ(5 USD) และ ไปรถ-กลับเรือ(8 USD) โดยผมเลือกแบบ ไปทางรถ และกลับทางเรือ เพิ่มเงินอีกนิดหน่อย ได้ล่องเรือกลับคงได้บรรยากาศไปอีกแบบ รถจะมารับในเวลาประมาณแปดโมงเช้า ช่วงนี้ยังพอมีเวลาขอจัดการมื้อเช้าก่อนสักหน่อย เดินออกจากที่พักเลี้ยวขวามาไม่กี่สิบเมตร ก็จะเจอร้านแบบหาบเร่ ขาย หมี่กวง(Mi Quang)
หลังจากสอบถามจึงรู้ว่า.. แม่ค้าจะมาขายเฉพาะในช่วงเวลาเช้าเท่านั้น ขายหมดก็กลับบ้าน
อยากบอกว่า.. หน้าตา Mi Quang ชามนี้น่ากินสุดๆ และ ก็ให้เยอะมากๆ เลยครับ ราคาชามละ 20.000 VND (30 บาท) สุดคุ้มเลย แม่ค้าแนะนำให้บีบมะนาวลงไปก่อนกิน และ ให้กัดพริกตามไปด้วย จะทำให้แซ่บยิ่งขึ้น.. ซึ่งผมก็ทำตาม ไม่ขัดขืน กัดพริกตามหมดไปหลายเม็ด แซ่บน้ำหูน้ำตาไหลเลยทีนี้ 55
สถานที่เราจะไปในวันนี้.. ปราสาทหมี่เซิน เมืองเก่าโบราณ ที่อยู่ห่างจากตัวเมืองฮอยอันไป ประมาณ 40 กิโลเมตร สามารถเดินทางไปได้ทั้งการเหมาแท็กซี่ เช่ามอเตอร์ไซค์ หรือ สะดวกที่สุดก็คือการซื้อเดย์ทัวร์ ปราสาทหมี่เซิน หรือ My Son หลายคนอาจจะเรียกผิด และผมก็เช่นกัน.. ที่ครั้งแรกออกเสียงว่า “มาย ซัน” (ลูกชายของฉัน) แต่จริงๆ แล้ว ต้องออกเสียงว่า หมี่เซิน ถึงจะถูกครับ
แปดโมงเช้าตรงเป๊ะ! รถมาจอดรับที่หน้าที่พัก เป็นรถบัสสีแดงขนาดใหญ่
ขึ้นมาบนรถเจอฝรั่งมาเต็มรถเลย.. ตอนนี้ก็เป็นเวลามองหาพวกสักหน่อย เผื่อมีคนไทย มาเที่ยวในกลุ่มเดย์ทัวร์นี้บ้าง.. แต่มองๆ ไปก็เหมือนจะไม่มี เห็นแต่ฝรั่งทั้งนั้น รถรับนักท่องเที่ยวจนครบ และ ออกนอกเมืองมาได้สักพัก ไกด์ก็แนะนำตัว ว่า ชื่อ Mr.Houng จะคอยดูแลและให้ข้อมูลต่างๆ ไปตลอดการเดินทางของวันนี้
กลุ่มทัวร์ของผมในวันนี้ จะถูกเรียกว่า .. “Camel Team” เป็นชื่อเรียกเฉพาะกลุ่ม เพื่อไม่ให้สับสนกับกลุ่มอื่นๆ ระหว่างทางไกด์จะเดินเก็บเงินเพิ่ม เป็นค่าบัตรเข้าชม My son = 150.000 VND (ราคาไม่ได้รวมในทัวร์)
ประมาณ 45 นาทีก็เดินทางมาถึง ทางเข้า My Son ซึ่งช่วงนี้ ไกด์ก็ปล่อยให้พักทำธุระตามอัธยาศัย จะเข้าห้องน้ำ หรือ ซื้อข้าว ซื้อขนมกินก็ตามอัธยาศัย
จากนั้นได้เวลาก็ต้องเดินเท้ากันเข้าไป ด้านหน้าจะมีที่จำหน่ายบัตร ซึ่งถ้าใครไม่ได้มากับทัวร์ ก็ต้องมาซื้อบัตรกันตรงนี้ก่อน
เดินตามไกด์เข้าไปด้านในกับระยะทางพอสมควร รู้สึกไม่ค่อยชินกับการมาเที่ยวเป็นกรุ๊ปทัวร์แบบนี้ ไกด์พาเดินเร็วมาก 55
มาถึงจุดรถรับ-ส่ง ต้องนั่งรถเข้าไปข้างในอีก จะมีรถวิ่งมาวนรับส่งอยู่ตลอดเวลา
ระหว่างทางที่นั่งรถเข้าไป ลัดเลาะไปตามเขา บรรยากาศโดยรอบก็ร่มรื่นดีครับ
รถมาจอดที่จุดจอดรถ ตรงนี้ไกค์จะให้ ซื้อน้ำดื่ม เตรียมพร้อมกันให้เรียบร้อย กับการเดินเท้าระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร
ก่อนอื่น ไกด์ จะมาอธิบาย เรื่องราว ประวัติ ความเป็นมาของสถานที่แห่งนี้ให้เข้าใจโดยทั่วกันเสียก่อน
ซึ่งพอจะจับใจความได้ว่า.. ปราสาทหมี่เซิน นั้น เป็นแหล่งศาสนสถานของชาวจามที่มีอายุมากกว่า 1600 ปี เป็นปูชนียสถานที่ใหญ่ที่สุด และมีความสำคัญที่สุดของอาณาจักรจามปา ตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 -15 เป็นแหล่งผสมผสานคติความเชื่อ เรื่องการบูชาเทพเจ้าแห่งขุนเขา กับ คติความเชื่อเรื่องเทพเจ้าของฮินดู การเข้าชมปราสาทหมี่เซิน จะใช้ระยะทางในการเดินเท้าเข้าไปประมาณ 2 กิโลเมตร ซึ่งปราสาทต่างๆ จะถูกจัดเป็นกลุ่ม มีกลุ่มที่สำคัญๆ คือ กลุ่ม A กลุ่ม B กลุ่ม C เป็นต้น สามารถเดินชมได้โดยทั่วตามเส้นทางที่กำหนดไว้ จะเดิน วนซ้าย หรือ วนขวา ก็ได้ ซึ่งวันนี้ไกด์จะพาเดินวนซ้ายครับ
เมื่อเข้าใจตรงกันแล้ว.. ก็ได้เวลา ออกเดิน ครับ ระหว่างทางอากาศก็เย็นสบาย ต้นไม้เยอะ แต่การเดินขึ้นเนินก็ต้องออกแรงนิดนึง..
ไม่นานก็มาเจอกับ ปราสาทกลุ่มแรก ซึ่งกลุ่มปราสาทหมีเซินจะตั้งอยู่บริเวณที่ราบต่ำ มีภูเขาโอบล้อม เนื้อที่ประมาณ 2 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วยปราสาททั้งหมด 73 หลัง แต่ในช่วงสงครามเวียดนาม ทหารเวียดนามได้ใช้ปราสาทหมีเซินเป็นกองบัญชาการ ฝ่ายอเมริกันจึงได้นำเครื่องบินทิ้งระเบิดด้วยฝูงบิน B-52 ในบริเวณนี้.. โบราณสถานจำนวนมากถูกทำลาย ทำให้ปัจจุบันเหลือปราสาทเพียง 22 หลัง
ปราสาทหมี่เซิน มีเอกลักษณ์โดดเด่นทางสถาปัตยกรรม จากการก่อสร้างโดยใช้อิฐแบบโบราณ มีการแกะสลักนิทานพื้นบ้านของศาสนาฮินดูบนหินทราย และรูปสลักบนกำแพงอิฐ แสดงให้เห็นถึงศิลปะที่ประณีตสวยงามของชาวจาม..
ซึ่ง ปี ค.ศ.1999 ทาง องค์กรยูเนสโก (UNESCO) ก็ได้รับรองให้หมีเซินเป็นมรดกโลก
ไกด์พาเดินชมทุกซอกทุกมุมของปราสาท แต่ก็พาเดิน และอธิบายเร็วมากๆ จนจับใจความไม่ค่อยทัน โดยรวมๆ แล้วก็สวยดี..
ปราสาท กลุ่ม F ที่ถูกแรงระเบิดจากฝูงบิน B-52
ใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมงก็เดินชมครบทุกกลุ่มปราสาท วนกลับมาที่จุดเริ่มต้นการเดินพอดี จากนั้นก็ขึ้นรถรับ-ส่ง เพื่อกลับออกไปครับ
กลับมาถึงทางออก สิ้นสุดการชมปราสาทหมี่เซิน ซึ่งจะว่าไปแล้ว.. สถานที่แห่งนี้ก็มีความน่าสนใจเหมือนกัน แต่ดูเหมือนว่าเวลาจะกระชั้นไปหน่อย เพราะไกด์ทำเวลามาก ทำให้ได้ชมแต่ละกลุ่มปราสาทได้ไม่ค่อยจุใจสักเท่าไร..
ล่องเรือกลับฮอยอัน!
จากนั้น.. ไกด์ก็เรียกขึ้นรถ เพื่อเดินทางกลับเข้าสู่ตัวเมืองฮอยอันกันครับ เดินทางออกมาได้ประมาณ 20 นาที ไกด์ก็จะแยกนักท่องเที่ยวออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มกลับทางรถ ก็จะได้นั่งรถคันนี้ต่อไปจนถึงฮอยอัน ส่วนอีกกลุ่ม คือ กลุ่มกลับทางเรือ กลุ่มนี้จะได้ล่องเรือกลับเข้าฮอยอัน ซึ่งผมก็อยู่ในกลุ่มล่องเรือกลับ จึงถูกแยกให้ลงตรงท่าเรือระหว่างทาง..
ตอนนี้ นักท่องเที่ยวถูกแยกเป็นสองกลุ่มแล้ว กลุ่มผมนั่งเรือกลับ ก็เลยมารอเรืออยู่ที่ท่าเรือแห่งหนึ่ง
เรือที่จะพาล่องกลับเข้าเมืองฮอยอัน ลอยลำรออยู่แล้ว มองเข้าไปในเรือเห็นมีอาหารจัดเตรียมไว้ให้พร้อม ซึ่งตอนนี้ก็เป็นเวลาเที่ยงพอดี
เดินขึ้นเรือเตรียมกลับกันได้
บนเรือจะมีอาหารบริการด้วย เป็นอาหารแบบง่ายๆ ผัดผักรวมมิตรราดข้าว ซึ่งหิวๆ แบบนี้ กินอะไรก็อร่อยหมด
กินข้าวไปชมบรรยากาศล่องเรือไป เห็นผู้คน และวิถีชีวิตทั่วไป
อากาศดี ลมพัดเย็นสบาย บนเรือมีเครื่องดื่มต่างๆ ขายด้วย อย่าง เบียร์ น้ำอัดลม น้ำดื่ม.. ซึ่งราคาก็อาจจะสูงกว่าปกตินิดหน่อย แต่ได้เบียร์สักป๋อง มาจิบไป ชมบรรยากาศไป ก็ดีเหมือนกัน ใช้เวลาล่องเรือประมาณชั่วโมงกว่าๆ ก็กลับมาถึงเมืองฮอยอัน..
เมื่อเรือมาเทียบท่าที่ท่าเรือฮอยอัน ก็เดินกลับที่พักก่อน อยากกลับไปอาบน้ำอาบท่าเปิดแอร์เย็นๆ ให้หายร้อนสักหน่อย งีบหลับพักผ่อนสักนิด… ก่อนที่คืนนี้จะออกไปตระเวณราตรีต่อ ในค่ำคืนพระจันทร์เต็มดวง กับ เทศกาลโคมไฟเมืองฮอยอัน (Hoi An Full Moon Lantern Festival)
19.00 น. เทศกาลโคมไฟฮอยอัน!
แสงจันทรา ราตรีก่อน..
คืนนี้.. คือ คืนสำคัญ เพราะเป็นคืนที่ได้เล็งเอาไว้ตั้งแต่วางแผนก่อนออกเดินทาง ว่าต้องมาให้ตรงกับวันที่มีพระจันทร์เต็มดวง อยากมาเดินเล่นในบรรยากาศเทศกาลแบบนี้อีกสักครั้ง
ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอนหกโมงเย็น เกรงว่าจะหลับเพลิน.. ตื่นไปอาบน้ำ แต่งตัว เตรียมออกไปริมแม่น้ำทูโบน ระหว่างทางแวะกินมื้อเย็นก่อนสักหน่อยที่ร้านเดิม ที่นั่งกินสลัดเมื่อวาน แต่วันนี้ขอลองเมนูใหม่ Banh Tran’ Kep ที่เป็นแผ่นแป้ง ห่อด้วย เนื้อหมู หัวหอม และผักชนิดต่างๆ จากนั้นเอามาย่างไฟอ่อนๆ ส่งกลิ่นหอมดีเหมือนกัน..
จัดมาสักจาน ราคา 20.000 VND(30 บาท) เสิร์ฟมาพร้อมกับน้ำจิ้มหวาน รสชาติอร่อยใช้ได้ ย่างอ่อนๆ ทำให้ได้กลิ่นหอมๆ และน้ำจิ้มหวานก็ดูเข้ากันดี อาจมีเพิ่มพริกสดลงไปในน้ำจิ้มอีกสักหน่อย เพิ่มความเผ็ดมาอีกนิด แซ่บเลย..
อิ่มแล้วก็เดินเข้ามาในย่านเมืองเก่า.. ถึงกับต้องอุทาน.. โอ้โหววว.. คนอย่างเยอะ!! มาจากไหนกันเนี่ย? ..คนเยอะกว่าเมื่อวานอีก บรรยากาศดูคึกคักมาก..
ค่ำคืนนี้.. ในเมืองฮอยอัน บรรดาตึกทั้งหลายจะพร้อมใจกันปิดไฟกันทั้งเมือง แล้วใช้แสงสว่างจากโคมไฟเท่านั้น ดังนั้น คืนนี้จึงได้เห็นสีสันของโคมไฟ ที่ประดับประดาอยู่รอบๆ เมือง ดูโรแมนติกดี
นักท่องเที่ยวต่างพร้อมใจกันออกมาเดินเล่น เก็บภาพโคมไฟสวยๆ
กระทงกระดาษ เริ่มวางขาย เรียงรายไปตามริมแม่น้ำทูโบน ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กๆ มาเป็นแม่ค้านั่งขายเพื่อหารายได้
บรรยากาศดีแบบนี้ ผมเลยไปซื้อเบียร์ที่ขายอยู่บริเวณนั้น มานั่งกับพื้น แล้วจิบเบียร์ชิลๆ อยู่ที่ริมน้ำ มองดูกระทงกระดาษไหลผ่านไปตามกระแสของน้ำ ก็เพลินดีเหมือนกัน
บรรยากาศดีแบบนี้ ผมเลยไปซื้อเบียร์ที่ขายอยู่บริเวณนั้น มานั่งกับพื้น แล้วจิบเบียร์ชิลๆ อยู่ที่ริมน้ำ มองดูกระทงกระดาษไหลผ่านไปตามกระแสของน้ำ ก็เพลินดีเหมือนกันพอเริ่มดึกผู้คนก็เริ่มจะเดินขวักไขว่กันมากยิ่งขึ้น
บริเวณริม แม่น้ำทูโบน ก็จะมีกิจกรรมต่างๆ มากมาย ทั้งการละเล่น การแสดงต่างๆ อาจจะฟังไม่เข้าใจ เพราะเป็นภาษาเวียดนาม แต่ก็ดูสนุกสนาน และคึกคักดีครับ
เดินข้ามแม่น้ำทูโบนมาอีกฝั่ง(ฝั่งตลาดกลางคืน) ก็จะมีกิจกรรมต่างๆ ให้ดูเหมือนกัน อย่างน้องๆ กลุ่มนี้ก็มาร้องรำทำเพลงรับบริจาคเงิน เพื่อการกุศล
ตลาดโคมไฟ หลากหลายสีสันละลานตา ในค่ำคืนนี้ดูคึกคักด้วยนักท่องเที่ยวเป็นพิเศษ
เรือที่ดัดแปลงเป็นร้านอาหารที่ลอยอยู่ในน้ำเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวเหมือนกัน กินอาหาร พร้อมฟังเพลงอะคูสติกเพราะๆ ขนาดผมแค่เดินผ่านยังเคลิบเคลิ้ม จนต้องหยุดยืนฟังจนจบเพลงเลย..
ก่อนไฟดวงนี้จะเลือนหายไป..
ราตรีนี้ยังอีกยาวไกล.. บริเวณริมน้ำจึงเป็นจุดปักหลักที่จะนั่งชิล เบียร์ก็ถูกซื้อมาเพิ่มเรื่อยๆ มานั่งจิบชิลๆ ริมน้ำ นั่งมองน้ำ มองกระทง มองโคมไฟ มองพระจันทร์ มองผู้คนไปเรื่อยเปื่อย ก็เพลินดี.. จนรู้สึกว่า คนเริ่มเบาบางลง เสียงจอแจเริ่มจางหาย ดูเวลาก็ดึกพอสมควรแล้ว คงได้เวลาต้องเดินกลับที่พักแล้ว..
จากตอนหัวค่ำที่บรรยากาศคึกคัก มาตอนนี้.. ฮอยอันกลับเข้าสู่ความสงบอีกครั้ง เดินกลับที่พักแบบมืดๆ จะสว่างก็ต่อเมื่อเดินผ่านเสาไฟที่มีแสงไฟส่องสว่างที ตอนนี้เริ่มหิวขึ้นมาอีกแล้ว.. เดินผ่านร้านค้าหลายๆ หลายก็ปิดไปหมดแล้ว สงสัยจะอดกินอะไรแล้วมั้งเนี่ย? แต่พอเกือบถึงที่พัก ก็เหลือบไปเห็นร้านหนึ่ง ที่ป้าในร้านกำลังย่างอะไรหอมๆ อยู่ จากชุดนอนที่ป้าสวมใส่อยู่ ถ้าถามอะไรไป คงได้คำตอบมาประมาณว่า “ปิดร้านแล้วนะพ่อหนุ่ม..” แน่ๆ แต่ตอนนี้มันหิว ไม่ลองก็ไม่รู้ ลองถามหน่อยเผื่อจะมีอะไรให้ซื้อกลับไปกิน..
ป้าบอกว่า.. ที่จริงปิดร้านแล้ว เก็บโต๊ะหมดแล้ว ตอนนี้ กำลังเตรียมของเพื่อจะขายวันพรุ่งนี้ แต่ยังเตรียมไม่เสร็จ ที่ร้านป้าขาย Banh Tran’ Kep เหมือนที่กินตอนหัวค่ำ แต่ของป้าจะทาหมูบดลงไปบนแผ่นแป้ง แล้วเอาไปย่างไฟอ่อนๆ จากนั้นใช้กรรไกรตัดออกมาเป็นชิ้นๆ เสิร์ฟมาพร้อมน้ำจิ้มรสหวาน ซึ่งตอนแรกจะซื้อใส่ถุงกลับไปกินที่ห้อง แต่ป้าเชิญให้นั่งกินในร้านก่อนได้ เพราะยังเตรียมของไม่เสร็จ ป้าเอาโต๊ะมาตั้งให้.. ก็นั่งต่อสิครับ
ดูเหมือนว่าจานเดียวจะไม่พอ เพราะอร่อยจริงๆ ก็เลยสั่งเพิ่มอีกจาน ป้าบอกว่า.. จะสั่งเบียร์เพิ่มก็ได้นะ ไปหยิบเอาเองเลย จะเอาน้ำแข็งก็ตักเองได้เลย.. แต่ถ้าป้าเตรียมของเสร็จ ป้าจะปิดร้านนะ.. ก็โอเค.. สบายล่ะ ระหว่างนี้ก็นั่งจิบเบียร์ไป ซึ่งเมนูนี้ก็กินเข้ากับเบียร์ดีมาก นั่งกินไปก็เพลินๆ ดี และก็ไม่เหงาแล้ว เพราะมีเพื่อนมานั่งกินด้วย …อีกตัว!
ตอนที่ 3 : ฮอยอัน..ก็มีทะเล! >> http://chailaibackpacker.com/hoian-3
การท่องเที่ยวเชิงไฉไล | CHAILAIBACKPACKER
Fanpage : https://www.facebook.com/chailaibackpacker
Instagram : CHAILAIBACKPACKER
Twitter : @chailaibackpack / goo.gl/VIBXC9